ชื่อวิทยาศาสตร์: แอสเทอโรเลคาเนียม อันกูลาตั่ม (Asterolecanium ungulatum Russell)
วงศ์ (Family): แอสเทอโรเลคาไนดี้ (Asterolecaniidae)
วงศ์ใหญ่ (Superfamily): คอกคอยดี้ (Coccoidea)
อันดับ (Order): เฮมิพเทอร่า (Hemiptera)
เพลี้ยหอยที่พบบริเวณใต้ใบทุเรียนและบางครั้งแพร่ระบาดเพิ่มจำนวนประชากรเพลี้ยมากๆ จะพบตามกิ่งอ่อน-ยอดอ่อน โดยเฉพาะในทุเรียนปลูกใหม่ ถึงอายุ 2 ปี เพลี้ยหอยชนิดนี้มีลักษณะทรงกลม ลำตัวแบน หลังนูนขึ้นเล็กน้อย มีไขเคลือบลำตัวสีขาวใสปกคลุมลำตัว เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะมีสีเหลือง ในระยะแรกลำตัวจะมองเห็นเป็นสีขาวขุ่นเนื่องจากยังไม่มีตัวอ่อนอยู่ใต้ท้อง แต่เมื่อไข่ฟักเป็นตัวอ่อนใต้ท้องตัวแก่วัยเจริญพันธุ์จึงเห็นเป็นสีเหลืองอ่อน
เพลี้ยหอยชนิดนี้ เป็นเพลี้ยหอยในสกุลเพลี้ยหอยเกล็ด (pit scale) ถูกจำแนกชนิดและตีพิมพ์ลงในเอกสาร
"A classification of the scale insect genus Asterolecanium" ในปี ค.ศ. 1941 โดยหลุยส์ รัสเซลล์ หรือหลุยส์ รุสเซลล์ (Louise May Russell) รายงานฉบับนี้พบครั้งแรกที่หมู่เกาะชวาประเทศอินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน และมาเลเซีย ในประเทศไทยผู้เขียนพบครั้งแรกที่ จังหวัดชุมพร และสุราษฎร์ธานี ราวปี พ.ศ. 2560 ต่อมาพบในจังหวัดสมุทรสงคราม โดยเพลี้ยติดมากับต้นพันธุ์จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี และต่อมาพบตามภาคตะวันออกบางพื้นที่ เพลี้ยหอยรัสเซลล์เป็นเพลี้ยที่อยู่ในวงศ์ใหญ่ (Superfamily)
คอกคอยดี้ (Coccoidea) เช่นเดียวกับเพลี้ยแป้ง-เพลี้ยหอยชนิดอื่นๆ สำหรับชื่อ
"เพลี้ยหอยรัสเซลล์" เป็นการเรียกชื่อเพื่อให้เกียรติแก่ผู้จำแนกชนิด (อย่างไม่เป็นทางการ)
ภาพ: เพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบทุเรียนมูซังคิง อายุต้น 5 ปีเศษ
ภาพ: เพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum ดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดอ่อนและกิ่งก้านของทุเรียนอายุน้อย
ภาพ: เพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum ดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดอ่อนและกิ่งก้านของทุเรียนอายุน้อย
การทำลายของเพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum ส่วนมากพบในต้นกล้าพันธุ์ทุเรียน และทุเรียนปลูกใหม่ อายุไม่เกิน 2-3 ปี แต่หากกำจัดไม่หมดหรือปล่อยปละอาจพบในทุเรียนอายุมากกว่านี้ได้ เพลี้ยหอยเข้าทำลายโดยดูดกินน้ำเลี้ยงอยู่บริเวณใต้ใบแก่ทุเรียน ทำให้หน้าใบเป็นจุดแต้มเหลืองกระจายทั่วใบ ทำให้ใบอายุสั้นลง ใบแห้งกร้านและหลุดล่วงในเวลาต่อมา หากเข้าทำลายตั้งแต่ระยะใบอ่อนหรือยอดที่เกิดใหม่จะทำให้ใบเหลืองหงิกงอ ในทุเรียนเล็กที่ขาดการดูแลเพลี้ยสามารถแพร่ขยายจำนวนและดูดกินน้ำเลี้ยงได้เกือบทั้งต้น
ในทุเรียนปลูกใหม่ พบว่า เพลี้ยหอยเกล็ดสามารถดูดกินน้ำเลี้ยงตามก้านใบอ่อนและกิ่งยอดอ่อน ทำให้กิ่งก้านใบอ่อนม้วนงอ ข้อสั้น ใบอ่อนหงิกงอม้วนลงและตามหน้าใบเป็นจุดสีเหลือง ต้นแคระแกร็น และชะงักการเจริญเติบโต
เพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum ยังไม่พบรายงานการศึกษาวงจรชีวิต แต่หากอ้างอิงสกุลของเพลี้ยหอยเกล็ดแอสเทอโรเลคาเนียม(Genus: Asterolecanium) พบว่า เพลี้ยหอยในสกุลนี้หลายชนิดสามารถแพร่พันธุ์โดยไม่ต้องผสมพันธุ์ได้ (parthenogenesis) เช่น เพลี้ยหอยเกล็ดปุสทูเลนส์ (A. pustulans)
เพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum วางไข่และฟักเป็นตัวอ่อนอยู่ภายในใต้ท้องของตัวเต็มวัยเพศเมีย (วัยสืบพันธุ์) ตัวอ่อนที่ฟักออกมาของเพลี้ยสกุลนี้ส่วนใหญ่ตัวอ่อนเพศเมียจะมีช่วงวัยที่เป็นตัวอ่อน 3 ช่วง ส่วนตัวอ่อนเพศผู้ มี 5 ช่วงวัย
ตัวอ่อนวัยคลาน (crawlers): ตัวอ่อนวัยนี้จะมีขา 3 คู่ และคลานออกจากใต้ท้องตัวเต็มวัย เคลื่อนที่เพื่อหาจุดที่จะดูดกินน้ำเลี้ยงของพืช
ตัวอ่อนวัย 1-4 (instar 1St - 4th): ตัวอ่อนวัยคลานเมื่อลอกคราบเป็นตัวอ่อนในวัยถัดไปจะมีขาหดสั้นลง ดังนั้น ตัวอ่อนในวัย 1-4 จะเคลื่อนที่ได้น้อยมาก และจะขยับตัวไปไม่ไกลจากจุดแรกที่เจาะดูดกินน้ำเลี้ยง
ตัวเต็มวัย หรือตัวแก่ /วัยเจริญพันธุ์ (Adults): เพศเมีย จะมีการฝั่งตัวลงไปในเนื้อเยื่อพืชเล็กน้อยและจะไม่เคลื่อนที่อีก ส่วนเพศผู้จะมีปีก
ภาพ: เพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum และกลุ่มไข่กับตัวอ่อนที่อยู่ใต้ท้องตัวเต็มวัยเพศเมีย
เนื่องจากเพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum อยู่ตามใต้ใบและมีไขเคลือบลำตัว โดยไขเคลือบมีลักษณะเช่นเดียวกับไขขี้ผึ้ง ดังนั้น น้ำจะเกาะลำตัวเพลี้ยค่อนข้างน้อยหรือไม่ได้ การพ่นสารกำจัดแมลงที่เป็นสูตรผสมสารในรูปน้ำ ผง ยาเม็ด และน้ำเนื้อครีม จึงเป็นข้อจำกัดค่อนข้างมาก หากเลือกใช้สารกำจัดแมลงในรูปสูตรดังที่กล่าว มีความจำเป็นจะต้องใช้สารเคลือบผิวที่เป็นน้ำมัน (ออยล์: oils) ผสมร่วมด้วย เช่น ไวท์ออยล์ หรือพาราฟินออยล์ เพื่อเสริมการเคลือบไข ยืดเกาะและสารเข้าสู่ลำตัวของเพลี้ยได้ดียิ่งขึ้น
จากการติดตามสังเกตุและทดสอบซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งของผู้เขียน พบว่า สารกำจัดแมลง กลุ่ม 1B เช่น โพรฟีโนฟอส 50% (ชื่อการค้า เช่น พีโป) ไดอะซินอน 60% (ตัวอย่างชื่อการค้า เช่น ลีน่อน) และพิริมิฟอส 50% ให้ผลดีในการกำจัด[1] อัตราใช้ 350-400 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร และควรพ่นเน้นไปที่ใต้ใบ นอกจากนี้ การใช้สารกำจัดแมลงกลุ่มกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแมลง จะช่วยลดการแพร่ระบาดหรือกำจัดเพลี้ยได้ดียิ่งขึ้น เช่น สารกำจัดแมลง กลุ่ม 7C ได้แก่ ไพริฟรอกซิเฟน 10% (ชื่อการค้าที่ขึ้นทะเบียนและได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร[2] ปัจจุบันมี 3 ชื่อการค้า (ณ เดือน พ.ค.67) ได้แก่ แพ็คซิเฟน, แอ็กเฟน และ ไพริโกร) โดยใช้อัตรา 250-400 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร สารกำจัดแมลงยับยั้งการเจริญของแมลงอีกกลุ่มที่พอใช้ได้ คือ กลุ่ม 16 ได้แก่ บูโพรเฟซีน 40% (ตัวอย่าง ชื่อการค้า เช่น แพ็คบูซิน) อัตราแนะนำขั้นต้น 300 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร ขึ้นไป[3]
เนื่องจากเพลี้ยหอยเกล็ด
A. ungulatum ออกไข่และมีตัวอ่อนระยะแรกอยู่ใต้ท้อง จึงมีความจำเป็นต้องพ่นสารกำจัดแมลงซ้ำ 2-4 ครั้ง โดยพ่นทุก 10-14 วัน ต่อเนื่อง และหลังจากนั้นราว 1.5-2 เดือน ควรพ่นซ้ำอีก 2 ครั้งทุก 10-14 วัน
ข้อสังเกตุ: สารกำจัดแมลง กลุ่ม 4A และกลุ่ม 23 แม้จะมีคุณสมบัติดูดซึมที่ดี แต่ประสิทธิภาพในการกำจัดเพลี้ยหอย-เพลี้ยแป้งมักไม่ค่อยได้ผลตามที่คาดหวัง
[1]โพรฟีโนฟอส, ไดอะซินอน และพิริมิฟอส มีกลิ่นฉุน หรือเหม็นค่อนข้างสูง
[2]ไพริฟรอกซิเฟน 10% ปัจจุบันหลังมีกระแสในการป้องกันกำจัดเพลี้ยได้ดี จึงมีผู้จัดจำหน่ายนำสารดังกล่าวที่ไม่ได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรมาจำหน่ายมากขึ้น
[3]ข้อสังเกตุ สาร “ไพริฟรอกซิเฟน” มีประสิทธิภาพมากกว่า “บูโพรเฟซีน” ในการกำจัดเพลี้ยหอย-เพลี้ยแป้ง อาจเพราะมีการใช้สารกลุ่ม 16 กันมานานและมักใช้อัตราที่ต่ำกว่าอัตราแนะนำ (บูโพรเฟซีน 40% อัตราต่ำกว่าอัตราแนะนำ เช่น 100-200 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร)
ภาพ: เพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum ที่กำลังจะสิ้น ส่วนตัวอ่อนที่อยู่ใต้ท้องยังมีชีวิตเป็นปกติและคลานออกมาจากท้องตัวเต็มวัย
ภาพ: เชื้อราเหลืองเข้ากินซากและเจริญเติบโตในซากของเพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum
พิสูทธิ์ เอกอำนวย.2566.โรคและแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ 2023 Diseases and Pests of Economic Importance Update 2023 edition.พิพิธภัณฑ์แมลงสยาม (Siam Insect-Zoo & Museum).พิมพ์ที่ บริษัทอมรินทร์พริ้นตอ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน).1067 หน้า
เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร.2559.การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชกะหล่ำ เทคนิคการพ่นสารฆ่าแมลงในพืชผักและกลไกการต้านทานสารฆ่าแมลงของแมลงศัตรูผักที่สำคัญ.กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร.จัดทำโดย สมาคมกีฏและสัตววิทยาแห่งประเทศไทย.86 หน้า.
Louise May Russell.1941.A classification of the scale insect genus Asterolecanium.Miscellaneous publication / United States Department of Agriculture, no. 424.Washington, D.C, U.S. Dept. of Agriculture, 1941.322 page.
IRAC.2019.Insecticide Mode of Action Training slide deck IRAC MoA Workgroup Version 1.0, April 2019.
(https://irac-online.org)
IRAC.2024.MODE OF ACTION CLASSIFICATION SCHEME VERSION 11.1, JANUARY 2024.
(https://irac-online.org)
Mardubai by James Thirasak
มือถือ. 082-353-5156
อีเมล. thirasak.chuchoet@gmail.com
ร้านหัวถนนการเกษตร-289
เลขที่ 52/4 ถ.นครศรีฯ-ปากพนัง ต.ในเมือง
อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
80000