ภาพ:ผลมะนาวที่เป็นโรคแคงเกอร์ เชื้อสาเหตุ: แบคทีเรีย Xanthomonas axonopodis pv.citri
มีคำถามว่า ทำไมถึงไม่แนะนำสารประกอบทองแดง หรือในชื่อคอปเปอร์ออกซี่คลอไรด์, คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์, คอปเปอร์ซัลเฟต (ไตรเบสิค), คิวปรัสออกไซด์ และบอร์โดมิกเจอร์ (บอร์โด มาจากชื่อเมือง บอร์โดซ์ (Bordeaux) ประเทศฝรั่งเศส เพราะคิดค้นได้ที่นั้น) ในการป้องกันกำจัดโรคแคงเกอร์ ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่ชื่อ ซานโทโมนาส อะโซโนโพดีส (Xanthomonas axonopodis pv.citri)
คำตอบคือ ถ้านานๆ พ่นสักครั้ง-สองครั้ง คงไม่มีประเด็นอะไร แต่โดยทั่วไปมักใช้กันเป็นนิด-เป็นกิจวัตร ไม่พ่นคอปเปอร์นอนไม่หลับ เหตุที่ไม่แนะนำพ่นบ่อยๆ และไม่แนะนำพ่นร่วมกับยาอื่นๆ เพราะ
1. คุณสมบัติความเป็นด่าง สารประกอบคอปเปอร์มีฤทธิ์ให้ด่างแก่น้ำ หรือตัวทำละลายสูง ปกติสารประกอบคอปเปอร์ที่ความเข้มขั้น 1% เมื่อละลายน้ำ หรืออัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร จะแตกตัวให้ค่า pH มากว่า 7 ขึ้นไป ยาตัวอื่นอาจเสียคุณสมบัติกำจัดโรคหรือแมลงไป
2. สารประกอบคอปเปอร์ มีคุณสมบัติฟอกขาว หรือกัดผิว การพ่นประจำจะทำให้นวลใบ (ไขเคลือบผิวใบ) บางลง และถูกทำลาย ทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมาได้ง่าย เช่น โรคสะแคป โรคเมลาโนส และโรคดาวกระจายบนผลส้ม-มะนาว (ความรู้ที่ขาดหายไปตามกาลสมัย) ที่สังเกตุได้ง่ายคือ ใบหรือผลมักมีสีซีดจางลง แลดูไม่มันวาว
3. สารประกอบคอปเปอร์ เป็นสารที่มีการใช้มาอย่างยาวนานหลายร้อยปี และมีพัฒนาการสารมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าจำไม่ผิดเริ่มจากสารประกอบคอปเปอร์ที่มีส่วนผสมของสารปรอท ต่อมาจึงพัฒนานำสารปรอทออกไป จนมาเป็น บอร์โดมิกเจอร์ > คอปเปอร์ซัลเฟต > คิวปรัสออกไซด์ > คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ และคอปเปอร์ออกซี่คลอไรด์ คล้ายกับสารประกอบฟอสโฟนิก ที่สุดท้ายพัฒนามาเป็น ฟอสอิทิลอะลูมิเนียม (โดยการทำปฏิกิริยาระหว่าง กรดฟอสโฟนิก กับ อะลูมิเนียม) การพัฒนาสารคอปเปอร์และฟอสโฟนิก เพื่อลดความเป็นพิษ (หรือมักเรียกทั่วไปว่า ยาร้อน) แต่กระนั้นก็ยังเป็นพิษอยู่บ้าง ในเอกสารกล่าวว่านักบวชชาวคริสต์ในประเทศฝรั่งเศสไม่พอใจกับใบองุ่นที่กระด้าง แห้งกร้านเพราะพ่นคอปเปอร์ แม้จะใช้รักษาโรคราน้ำค้างในองุ่นได้
ภาพ: ใบส้มโอที่เป็นโรคแคงเกอร์ เชื้อสาเหตุ: แบคทีเรีย Xanthomonas axonopodis pv.citri
แล้วจะใช้อะไรเพื่อป้องกันกำจัดโรคแคงเกอร์.?
ตอบ คาซูกะมัยซิน 60 ซีซี + แบคบีท (ยากำจัดเชื้อแบคทีเรียภายนอกของ บ.มิวสิค อะโกร) 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 2-3 ครั้ง ทุก 10 วัน บวกออยล์ทดแทนสารจับใบ
หากสงสัยว่าทำไมใช้ คาซูกะมัยซิน อัตราใช้สูงถึง 60 ซีซี..?
ตอบ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ครั้งแรกที่ผมรู้จักคาซูกะมัยซิน 2% เอกสารแนะนำอัตราขั้นต้นคือ 60-80 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ต่อมาเมื่อพบการระบาดของโรคต้นตายใบขาวจากเชื้อแบคทีเรียในหอม ที่ ต.เมืองแปง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน และเขต จ.อุตรดิตถ์ ได้สอบถามชาวสวนหอมว่า ได้พ่น คาซูกะมัยซินไหม
ตอบว่า พ่น... แต่รักษาโรคไม่ได้
เมื่อสอบถามต่อ จึงได้รู้ว่า ใช้อัตรา 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร เพราะพนักงานขายแนะนำมาอย่างนี้
ปัจจุบันหลังระเบียบการขึ้นทะเบียนยาใหม่ประกาศใช้ ส่วนใหญ่อัตราบนฉลากคาซูกะมัยซิน 2% ลดลงเหลือ 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ดีหน่อยก็ 40 ซีซี
คำถาม ยาตัวเดิม เปอร์เซ็นต์เท่าเดิม เมื่อกาลเวลาผ่านไป อัตราใช้ควรเพิ่มขึ้นหรือลดลง และต่อให้มีการเสริมสารปรุงแต่งเพื่อเสริมประสิทธิภาพเข้าไปด้วย เชื่อว่าถ้าหากไม่ใช่เติมสารกำจัดโรคชนิดอื่นลงไปประสิทธิภาพคงไม่ดีขึ้นจนผิดหูผิดตา
Mardubai by James Thirasak
มือถือ. 082-353-5156
อีเมล. thirasak.chuchoet@gmail.com
ร้านหัวถนนการเกษตร-289
เลขที่ 52/4 ถ.นครศรีฯ-ปากพนัง ต.ในเมือง
อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
80000