Logo

ไรสนิมส้ม.. ชอบสภาพอากาศชื้นมากกว่าร้อน.!!

Thirasak Chuchoet • July 5, 2024
ไรสนิมส้ม.. ชอบสภาพอากาศชื้นมากกว่าร้อน.!!

    ไรสนิมส้ม (Citrus rust mite: Phyllocoptruta oleivora Ashmead) เป็นไรศัตรูพืชในวงศ์อิริโอไฟอิดี้ (Family: Eriophyidae) หรือวงศ์ไรสี่ขา[1] อยู่ในอันดับย่อยแอคติเนดิด้า (sub-order; Actinedida)

ไรสนิมส้มชอบสภาพอากาศชื้นและเย็นมากกว่าร้อนและแห้งแล้ง

    ไรสนิมส้มเป็นศัตรูพืชที่แพร่ระบาดมากในช่วงฤดูฝนถึงฤดูหนาว หรือภูมิอากาศชื้น สภาพอากาศเย็นในช่วงกลางคืนถึงเช้าและมีหมอก ในสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้งการระบาดจะลดลง แต่ในปัจจุบันแมลงและไรศัตรูพืชหลายชนิดปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในภาวะโลกเดือดมากขึ้น เพื่อการอยู่รอดและดำรงเผ่าพันธุ์ ดังนั้น อาจมีความเป็นไปได้ว่าไรสนิมส้มเองก็ปรับพฤติกรรมเช่นกัน เนื่องจากในช่วงเดือน ก.พ.-พ.ค. (พ.ศ. 2567) ที่ผ่านมาพบการระบาดพบสมควรในพื้นที่ปลูกส้มโอ จ.นครศรีธรรมราช

คราบปื้นสนิมเหล็กที่เกิดจากไรสนิมส้มดูดน้ำเลี้ยง

    ไรสนิมส้มเป็นศัตรูที่สำคัญของพืชตระกูลส้ม-มะนาว โดยเฉพาะส้มโชกุน ส้มสายน้ำผึ้ง ส้มเขียวหวาน ส้มโอ และพบบางในมะนาว โดยทั้งตัวอ่อน และตัวเต็มวัย จะดูดทำลายใบและผล นอกจากนี้ในกิ่งก้านที่ยังมีสีเขียวก็อาจพบการเข้าทำลายได้เช่นกัน

    การเข้าดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบของไรสนิมส้ม มักพบไรชนิดนี้อาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณใต้ใบมากกว่าหน้าใบ แต่บางครั้งก็พบตามหน้าใบด้วยเช่นกัน ในส้มเขียวหวาน ส้มสายน้ำผึ้งจะทำให้หน้าใบเป็นปื้นสีดำ ใบสูญเสียคลอโรฟิลล์ที่ใช้สังเคราะห์แสง

ภาพที่ 1: ลักษณะการเข้าทำลายของไรศัตรูพืชจะพบคราบฝุ่นละเอียดสีขาว

ภาพที่ 2: ใบส้มเกิดรอยปื้นสีดำระหว่างเส้นใบ ที่เกิดจากไรสนิมส้ม

ภาพที่ 3: ใบส้มเกิดรอยปื้นสีดำระหว่างเส้นใบที่เกิดจากไรสนิมส้ม เมื่อนานวันรอยปื้นจะแข็งและนูนขึ้นเล็กน้อย

    สำหรับการเข้าทำลายผลนั้น พบว่า ไรสนิมส้มสามารถเข้าทำลายดูดกินน้ำเลี้ยงจากผลได้ตลอดระยะเวลาของการพัฒนาผล ตั้งแต่ผลอ่อนจนถึงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยว แต่จะพบมากในช่วงผลเริ่มสร้างเปลือกหนาขึ้นหรือเมื่อผลอายุตั้งแต่ 1-1.5 เดือนขึ้นไป เนื่องจากระยะนี้การแพร่ระบาดของเพลี้ยไฟลดลง[2] การเข้าทำลายผลจะเริ่มจากฝั่งของผลที่อยู่ด้านในของทรงพุ่มก่อน ต่อมาจึงขยับมายังด้านที่แสงส่องถึงเมื่อระบาดมาก ในผลส้มที่ติดผลเป็นช่อไรสนิมส้มจะเข้าทำลายตรงช่องระหว่างผลที่ติดกันก่อน ทำให้สังเกตุเห็นอาการถูกทำลายได้ยาก

    ในระยะแรกๆ ด้านผลส้มที่ถูกทำลายจะแลดูผิวซีดจางลงเล็กน้อย ผิวไม่มันวาว ผิวกระด้าง ในผลส้มขนาดเล็กอาจพบคราบสีขาวคล้ายฝุ่นละอองละเอียด ซึ่งเป็นคราบที่เกิดจากการลอกคราบของตัวอ่อน เมื่อระบาดมากขึ้นหรือในผลส้มที่อายุมากผิวจะเป็นปื้นสีน้ำตาลอมแดง สีแดงสนิมและขยายวงปื้นออกไปเรื่อย ๆ ค่อนข้างเป็นวงทรงกลม (russeting) ต่อเมื่อนานเข้าคราบรอยปื้นนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มถึงดำ ในสภาพอากาศร้อนและแล้ง หรือขาดน้ำรอยปื้นดำจะตกกระ เป็นร่องแตกลายงา หากผลการระบาดรุนแรงตั้งแต่ผลส้มยังเล็กจะทำให้ผลชะงักการขยายขนาด ผลเล็กกว่าปกติ

    สำหรับผลส้มและส้มโอ ที่ถูกไรสนิมเข้าทำลายมักพบว่าคุณภาพรสชาติของผลยังมีรสหวาน รับประทานได้แต่ผิวแลดูไม่น่ารับประทานและไม่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค

ภาพที่ 4: ผลส้มที่ถูกไรสนิมดูดกินน้ำเลี้ยง และพบการระบาดรุนแรง

ภาพที่ 5: รอยปื้นสีดำที่เกิดจากไรสนิม เมื่อนานวันหรือส้มขาดน้ำจะเกิดกระตกกระ แตกเป็นลายงา

ภาพที่ 6: ผิวกระตกกระและแตกเป็นลายงา จากการเข้าทำลายของไรสนิมส้ม

ภาพที่ 7: รอยปื้นสีน้ำตาลเข้ม, บางครั้งเป็นสีแดงสนิม จากการเข้าทำลายของไรสนิมส้ม

ภาพที่ 8: ไรสนิมส้มจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากผลฝั่งที่เป็นร่มเงาก่อนหรือฝั่งที่ผลอยู่ชิดกัน

ภาพที่ 9: หากไรสนิมส้มระบาดรุนแรง อาจพบเข้าทำลายผลที่อยู่ปลายทรงพุ่มด้วย

รูปร่างลักษณะของไรสนิมส้ม

    ไรสนิมส้ม มีรูปร่างคล้ายหนอนตัวป้อมสั้น มีขนาดเล็กมากและไม่สามารถมองด้วยตาเปล่า เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่มีขนาดความยาวเพียง 160 ไมครอน กว้าง 60-65 ไมครอน ลำตัวเป็นปล้องมีสีเหลือง ด้านหน้ากว้างกว่าส่วนท้าย มีขา 2 คู่อยู่ส่วนหน้า ตัวเต็มวัยเพศผู้จะมีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของแมลงและไรศัตรูพืช

    จากการศึกษาของ อังศุมาลย์ (พ.ศ. 2530) ระบุว่า จากระยะไข่พัฒนาเป็นตัวเต็มวัยใช้ระยะเวลาราว 7-8 วัน ภายใต้สภาพอากาศโดยประมาณที่อุณภูมิ 28 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์ 50-60% แต่ในสภาพภูมิอากาศปัจจุบันอาจใช้ระยะเวลาพัฒนาเป็นตัวเต็มวัยเร็วกว่านี้ ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้เวลา 7-8 วันหรือน้อยกว่านี้การพ่นสารกำจัดไรศัตรูพืชยังคงต้องสลับกลุ่มสารกำจัดไรศัตรูพืชตามกลไกออกฤทธิ์ทุกครั้งที่พ่นยา

วงจรชีวิตของไรสนิมส้ม

    วงจรชีวิตของไรสนิมส้มเหมือนกับไรศัตรูพืชชนิดอื่นในวงศ์ไรสี่ขา กล่าวคือ ประกอบไปด้วยช่วงวัย 4 วัย และมีระยะพักตัว 2 ช่วง แต่อายุอาจแตกต่างกันบางเล็กน้อย บวก/ลบ อาจไม่เกิน 1 วัน โดยวงจรชีวิตมีดังนี้

   ตัวเต็มวัย หรือตัวแก่ (adult): ไรสนิมส้มเพศผู้ มีอายุขัยเฉลี่ย 8-12 วัน และเพศเมียเฉลี่ย 11-12 วันเพศเมียหลังจากเป็นตัวเต็มวัยใช้เวลาราว 4 วัน จึงเริ่มวางไข่ โดยวางไข่เฉลี่ย 5.6 ฟองต่อวัน (40-50 ฟองต่อตัว)  ตัวเต็มวัยเพศเมียมีการเจริญพัฒนา 2 ลักษณะ หรือดิวเทอโรไจนี (deuterogyny) ลักษณะแรกเจริญพัฒนาเป็นตัวเต็มวัยอย่างรวดเร็วภายใต้สภาพอากาศเหมาะสม และมีพืชอาหารสมบูรณ์ ซึ่งจะแพร่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ลักษณะที่สอง คือสืบพันธุ์ได้โดยไม่อาศัยเพศผู้ ในสภาพภูมิอากาศหนาวจัดหรือขาดแคลนอาหารพืชอาหาร เพศเมียจะมีการพัฒนารูปร่างให้ทนทานสภาพอากาศ และนอกจากนี้ไรสนิมส้มและไรในวงศ์ไรสี่ขา สามารถขยายพันธุ์ในลักษณะไม่ต้องอาศัยเพศแบบ  "อาร์รีโนโตคัส (arrhenotokous parthenogenesis)" โดยไข่ที่ไม่ได้รับการผสมพันธุ์นี้จะพัฒนาเป็นไรเพศผู้ทั้งหมด ส่วนไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จะเจริญเป็นเพศเมีย การผสมพันธุ์ของไรวงศ์ไรสี่ขา จะเริ่มจากไรสี่ขาเพศผู้ปล่อยถุงหุ่มเสปิร์ม (spermatophore) ไว้ตามพืชอาหาร เมื่อไรเพศเมียมาพบ จะใช้ส่วนท้องที่มีอวัยวะสืบพันธุ์เก็บถุงเสปิร์ม แล้วบีบรีดสเปิร์มเข้าสู่รังไข่เพื่อผสมพันธุ์

   ไข่ (egg): หลังจากเพศเมียวางไข่ 3 วัน ไข่จะฟักออกมาเป็นตัวอ่อนวัยที่ 1

   ตัวอ่อนวัย 1 (first nymph): มีอายุขัยราว 1-2 วัน หลังจากนั้นจะเข้าสู่ระยะพักที่ 1 (nymphochrysalis) 1 วัน เป็นระยะที่ลดการเคลื่อนไหว หลังจากนั้นจึงลอกคราบเป็นตัวอ่อนวัยที่ 2

   ตัวอ่อนวัย 2 (second nymph): มีอายุขัยราว 1 วัน หลังจากนั้นจะเข้าสู่ระยะพักที่ 2 (imagochrysalis) 1 วัน แล้วจึงลอกคราบเป็นตัวเต็มวัย

ภาพที่ 10: รูปร่างของไรสนิมส้ม, ถ่ายภาพด้วยกำลังขยายมากกว่า 50 เท่า

การป้องกันกำจัด

    1. ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง แสงส่องถึงด้านในทรงพุ่ม เนื่องจากไรสนิมส้มสร้างความเสียหายให้กับผลส้มทางด้านร่มเงามากกว่าด้านรับแสงแดด

    2. เมื่อพบการเข้าทำลายของไรสนิมส้ม หรือไรศัตรูพืชชนิดอื่น โดยสังเกตุที่ใบหรือผิวผล ว่าปรากฏ คราบผงสีขาวละเอียดๆ คล้ายฝุ่นจับหรือไม่ หากพบการเข้าทำลายควรพ่นสารกำจัดไรศัตรูพืช หรือสารกำจัดแมลงที่มีฤทธิ์กำจัดไร โดยปฏิบัติดังนี้

      2.1 การพ่นสารกำจัดไรศัตรูพืช ควรปรับหัวพ่นยาให้ยาที่พ่นเป็นละอองฝอยให้มากที่สุด หากเป็นไปได้ควรเลือกใช้หัวพ่นแบบละอองยาเป็นรูปกรวยทึบ (solid cone type) คือ ละอองยาที่พ่นออกมาจะกระจายเต็มวงกรวย แต่จะสิ้นเปลืองยามากกว่าหัวพ่นแบบละอองยากรวยกลวง (hollow cone nozzle)

      2.2 การพ่นสารกำจัดไรศัตรูพืช หากผสมไวท์ออยล์ หรือพาราฟินออยล์ (white oil หรือ parafin oil) ร่วมด้วยจะเสริมประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้น โดยออยล์เหล่านี้จะมีลักษณะใส ไม่มีสี หรืออาจสีใสก็ได้ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต  (ไม่แนะนำปิโตรเลี่ยมออยล์ - น้ำดำ) การใช้ออยล์ควรทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนใช้เสมอ โดยอาจทดสอบผสมกับยาที่ต้องการใช้ในการพ่น ทดสอบความเข้ากันได้ทางกายภาพเบื้องต้นและทดสอบพ่นเล็กน้อย 4-5 ช่อดอกหรือยอดอ่อนก่อน และเมื่อใช้ออยล์แล้ว ไม่ควรผสมสารจับใบหรือสารเร่งซึม

    3. สารกำจัดไรศัตรูพืชและสารกำจัดแมลง ที่แนะนำมีดังนี้  (อัพเดท​ ก.ค.​ 2567)

   กลุ่ม 1B: เฉพาะที่เคยใช้และมีข้อมูลในเอกสารที่ค้นได้​ เช่น  ไตรอะโซฟอส​ 40%, โพรฟีโนฟอส​ 50%, อีไทออน 50%, ไตรคลอร์ฟอน​ 80% อัตราใช้ราว​ 30-50 ซีซี​./กรัม​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ ยากลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักมีฤทธิ์​กำจัดแมลงได้มากชนิด​ และเป็นอันตรายต่อแมลงตัวห้ำ ตัวเบียน

   กลุ่ม 2B: ฟิโพรนิล 5%, 25% และ​ 80% ตามข้อมูลและจากประสบการณ์​ใช้ได้เฉพาะกับไรศัตรูพืช​ในวงศ์ไรขาว​  "เท่านั้น"​ ฟิโพรนิลเป็นยาที่กำจัดแมลงได้มากชนิดและเป็นอันตรายต่อแมลงตัวห้ำ ตัวเบียน

    หมายเหตุ​: ฟิโพรนิล​ 80% มักมีปัญหาเรื่องการละลายเมื่อมีอายุหลังการผลิตมากกว่า​ 6-8 เดือน

   กลุ่ม 3A: ไบเฟนทริน​ 2.5%, 5% และ​ 10% (ในอนาคตจะพบเปอร์เซ็นต์​ที่สูงกว่านี้​ เช่น​ 24%SC น้ำครีม)​ อัตราใช้​ 80-120 ซีซี., 40-60 ซีซี.​ และ​ 20-30 ซีซี.​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ (ตามลำดับ)​ ยากลุ่มนี้เป็นยาที่กำจัดแมลงได้มากชนิดและเป็นอันตรายต่อแมลงตัวห้ำ ตัวเบียน​ ตามข้อมูล​ทั่วไปหากไม่คำนึงถึงเรื่องการส่งเสริมการระบาดเพิ่ม​ (resurgence) จะมียาตัวอื่นที่ใช้ได้เช่นกัน​ ได้แก่​ เดลตาเมทริน, แลมป์ดา-ไซฮาโลทริน, เฟนโพรพาทริน​ เป็นต้น​ (แต่ไม่แนะนำให้ใช้)​

   กลุ่ม 6: อะบาแมกติน 1.8% และ 2.4% เดิมสมัยโบราณมีการใช้อะบาแมกตินเพื่อกำจัดไรแดง​ ไรขาวกันมาก​ แต่ปัจจุบันพบว่าไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ​แล้ว​ แต่เมื่อ​ 5-6​ ปีมานี้​ มีงานวิจัยในต่างประเทศ​ทดสอบพ่นในแปลงโดยใช้​  "อะบาแมกติน​ ผสมร่วมกับ ไทอะมีทอกแซม"​ เปรียบเทียบกับยาไรชนิดอื่นๆ​ โดยพบว่า สามารถใช้ป้องกันและกำจัดไรแดงได้ดีเทียบเท่าหรือมากกว่าสารกำจัดไรศัตรูพืชบางชนิด

    จากประสบการณ์​ส่วนตัวที่ทดสอบใช้ตามงานวิจัย​ ให้ผลในเชิงป้องกันดีมาก​ โดยใช้​ อะบาแมกติน 2.4%​ อัตรา​ 25-30 ซีซี.​ ผสม ไทอะมีทอกแซม​ 25% อัตรา​ 15​ กรัม​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ (มีผลข้างเคียงต่อแมลงตัวห้ำ ตัวเบียน) 

   กลุ่ม 10A: เฮกซี่ไทอะซอก​ 1.8% ยาเฉพาะไรศัตรูพืช​วงศ์ไรแดง​ (หรืออีกชื่อวงศ์ไรแมงมุม)​ เป็นยาที่มีกระแสในช่วง​ 3-4​ ปีมานี้​ เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ออกมาจำหน่ายกันมากขึ้นและมีการโฆษณา​กันมาก​ แต่ขาดการเช็คผลประสิทธิภาพ​ในแปลง​ เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน​ ยาตัวนี้มีจำหน่ายเพียงบริษัท​เดียว​และจำหน่ายได้ดีหน่อยในเขตภาคกลาง จ.นครปฐม​ กาญจนบุรี​ เพชรบุรี​ ปทุมธานี​ ที่อื่นๆ​ จำหน่ายได้น้อย​ 

    ยากลุ่ม​ 10 ออกฤทธิ์​ยับยั้งการสังเคราะห์สารไคติน​ ไทป์​ 1 (CHS1) ในช่วงที่พบการระบาดของไรแดงหากพ่นยากลุ่มนี้มักไม่ค่อยได้ผลในการลดจำนวนไรแดง​ นั้นอาจเพราะวงจรชีวิตที่สั้นมากของไรแดง​ โดยประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อ​ 7-8​ ปี​ก่อน​ เคยติดตามแปลงส้มสายน้ำผึ้งที่พ่นเฮกซี่ไทอะซอก​ ทั้งอัตรา​ 30​ ซีซี.​ และ​ 40​ ซีซี.​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ ไม่สามารถควบคุมประชากร​ไรแดงให้อยู่ในระดับเป็นที่พอใจของชาวสวนได้​ ดังนั้น  ​ยาตัวนี้จะเหมาะกับใช้เป็นตัวเสริมเอาไว้ผสมร่วมกับยาไรชนิดอื่นมากกว่า

   กลุ่ม 12: มีให้เลือกใช้ 3 กลุ่มย่อย ดังนี้

     - กลุ่ม 12B: เพนบูทาตินออกไซด์​ 55% อัตรา​ 15​ ซีซี.​ ต่อ​น้ำ​ 20​ ลิตร​ ในพื้นที่ที่มีการใช้โพรพาร์ไกต์เป็นประจำ อาจมีความจำเป็นต้องปรับอัตราใช้เป็น​ 20-25 ซีซี.​ ต่อ​น้ำ​ 20​ ลิตร​ โดยเพนบูทาตินออกไซด์มีกลไกออกฤทธิ์ที่จุดจับเดียวกันกับโพรพาร์ไกต์ แต่มีความปลอดภัยต่อพืช

     - กลุ่ม​ 12C: โพรพาไกต์ 20%, 30% และ​ 57% เป็นยาที่มีโครงสร้างทางเคมีประกอบด้วยหมู่​ซัลไฟท์​ (Sulfite หรือ​ Sulphite -​ ester)​ ซึ่งหากพืชได้รับในปริมาณมากอาจก่อความเป็นพิษต่อพืช​ หรืิอเป็นพิษต่อพืชง่ายหากผสมร่วมกับยาที่มีฤทธิ์​เป็นด่างจัด​ ยาน้ำมันเข้มข้น​ หรืิอพ่นร่วมกับยาจับใบเร่งซึม

     - กลุ่ม​ 12​D: เตตระไดฟอน​ ปัจจุบันไม่ค่อยเห็นจำหน่ายในท้องตลาด

      *ยากลุ่ม​ 12B,​ 12C และ​ 12D แม้จัดอยู่ในกลุ่มกลไกออกฤทธิ์​เดียวกัน​ คือ​ กลุ่ม​ 12​ แต่มีโครงสร้างทางเคมีต่างกัน​ คือ​ 12B กลุ่มสารเคมี​ออร์กาโนติน​, 12C กลุ่ม​สารเคมีซัลไฟท์เอสเทอร์ และ 12​D กลุ่มสารเคมีเตตระไดฟอน

   กลุ่ม 13: คลอร์ฟีนาเพอร์​ 10%, 24% และ​ 40%  ใช้กำจัดได้ทั้งวงศ์ไรแดง​ และวงศ์ไรขาว​ ปกติคลอร์ฟีนาเพอร์จะใช้กำจัดเพลี้ยไฟ​ และหนอน​ มีผลต่อด้วงต่ำ  อัตราใช้มาตรฐานสำหรับคลอร์ฟีนาเพอร์​ 10% เมื่อ​ 6-7 ปีก่อน​ (ตอนนั้นมีจำหน่ายบริษัทเดียว)​  โดยการทดสอบกำจัดเพลี้ยไฟและหนอนกระทู้ในดาวเรือง​ อัตราที่ใช้ได้ผลคือ​ 30-40 ซีซี.​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ (บริษัท​ผู้จำหน่ายเป็นผู้ทดสอบ​ ส่วนผมแค่ติดตามผล) ปัจจุบัน​คลอร์ฟีนาเพอร์​ 10% ขั้นต้นควรใช้อัตรา​ 40​ ซีซี.​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ และสำหรับ​ 24% และ​ 40%​ ควรใช้อัตรา​ 17​ ซีซี.​ และ​ 10 ซีซี​. ต่อ​น้ำ​ 20​ ลิตร​ (ตามลำดับ)​

   กลุ่ม 15: ลูเฟนนูรอน 5%  มีข้อมูล​แนะนำใช้ลูเฟนนูรอน​ในไรศัตรูพืช​วงศ์ไรสี่ขา​ "เท่านั้น"​ ส่วนตัวยังไม่เห็นเอกสารแนะนำใช้กับไรวงศ์อื่นๆ​ อัตราใช้น่าจะราว​ 20-30​ ซีซี.​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ ยากลุ่ม​ 15​ ยับยั้งการ​สังเคราะห์ไคตินชนิด​ 1 (CHS1) โดยค่อนข้างมีผลเฉพาะ​เจาะจงกับแมลงกลุ่มหนอนผีเสื้อและหนอนด้วง​ เพื่อลดการลอกคราบ​ ดังนั้น​ เมื่อนำมาใช้กับไรสี่ขา​ ซึ่งมีวงจรชีวิตค่อนข้างสั้นเช่นเดียวกับไรแดง​ จึงควรใช้เป็นยาบวกหรือเสริมจากยาไรตัวอื่นๆ

    *หมายเหตุ: โนวาลูรอน​ ในเอกสารต่างประเทศล่าสุดมีอัพเดทใช้กำจัดแมลงหวี่ขาว​ เพลี้ยไฟ​ และเพลี้ยจักจั่น

   กลุ่ม 19: อามีทราซ 20% ยาไรศัตรูพืช​ที่มีการใช้กันมากชนิดหนึ่ง​ อัตราแนะนำ​ราว​ 40-50​ ซีซี.​ ต่อ​น้ำ​ 20 ลิตร​ และมีผลข้างเคียง​กับหนอนผีเสื้อบางชนิด​ เช่น​ หนอนเจาะผล​ หนอนเจาะฝักถั่ว​ หนอนคืบ​ เพลี้ยอ่อนและเพลี้ยไก่แจ้บางชนิด

   กลุ่ม 20D: ไบฟีนาเซต​ 48% ยาไรที่น่าสนอีกตัว แต่ราคาสูง (มาก)​ อัตราใช้ราว​ 5-10 ซีซี.​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ เนื่องจากยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก​ และยังไม่มียาชนิดอื่นในกลุ่มนี้ออกมาจำหน่าย​ จึงคาดว่า​ ไรศัตรูพืช​ยังไม่ดื้อยากลุ่มนี้​

   กลุ่ม 21A: ไพริดาเบน 12.5% และ​ 20%, ทีบูเฟนไพแรด 36%​, เฟนไพร็อคซิเมต 5%, ฟีนาซาควิน​ 20%

    ยาในกลุ่มนี้​ที่จำหน่ายมากสุดคือ​ ไพริดาเบน​ และเฟนไพร็อคซิเมต​ ปัจจุบันเท่าที่ลองสังเกตุประสิทธิภาพ​หลังพ่น​ของไพริดาเบน​ 20% อัตรา​ 20​ กรัม​ ร่วมกับไวท์ออยล์​ ยังได้ผลพอสมควร​ (ร่วมกับการสลับกลุ่มยาอย่างเหมาะสม) ส่วนตัวอื่นๆ​ ผมยังไม่เคยทดสอบประสิทธิภาพ​อย่างจริงจัง​ ดังนั้น​ จึงไม่มีคำแนะนำเพิ่มเติมในตอนนี้

    ทีบูเฟนไพแรดมีผลข้างเคียงกับด้วง จึงมีการใช้กำจัดด้วงหมัดผักมาช้านานมาก ในระยะหลังๆ อาจจะไม่เป็นที่นิยมและไม่ค่อยมีคนทราบเท่าไหร่ ดังนั้น การหยุดใช้ทีบูเฟนไพแรดของชาวสวนมา 4-5 ปี และนำกลับมาใช้ใหม่อาจได้ผลดี

   กลุ่ม 23: สไปโรมีซีเฟน ​24% สไปโรเตตระแมท 15%, 24% และสไปโรไดโคลเฟน​ 24% ยาเหล่านี้มีกลไกยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง​กับการสังเคราะห์​กรดไขมันสายยาว​ คือ​ เอนไซม์​อะซีทิลโคเอ​คาร์บ็อกซิเลส​ (ACC) มีผลทำให้การสร้างเยื้อหุ้มเซลล์​ผิดปกติ​ 

    สไปโรมีซีเฟน​ มีการใช้กำจัดไรศัตรูพืช​กันมาอย่างแพร่หลายเกือบ​ 10 ปี​ ภายหลังมียา​ สไปโรเตตระเมท​ 15% ออกมาจำหน่าย​และแนะนำใช้กำจัดเพลี้ยไฟและหนอน​ แต่กลับได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควร​ ต่อมาช่วง​ 2-3​ ปีนี้​ มีสไปโรเตตระเมท​ 24% ออกจำหน่ายโดยเน้นไปที่การกำจัดเพลี้ยแป้ง-เพลี้ยหอย​​ แต่จากการทดสอบส่วนตัวในเพลี้ย​หอยแดงแคลิฟอร์เนีย​ในส้มโอ​ พบว่าให้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่นัก

    พ.ศ. ​2567 สไปโรไดโคลเฟน​ 24% มีออกวางจำหน่ายแล้ว​ มีทั้งการโฆษณา​และรีวิวมากมาย​ แต่ส่วนตัวยังไม่มีประสบการณ์​การใช้และการทดสอบ​ 

    ส่วนตัว  ตั้งข้อสังเกตุว่า "ยาในกลุ่ม​ 23" น่าจะมีการดื้อยาข้ามภายในกลุ่ม​ 23 คือ​ ถ้าศัตรูพืช​ดื้อสไปโรมีซิเฟน​ก็จะดื้อยาอีก​ 2 ตัวตามไปด้วย​ เนื่องจากในการพ่นสไปโรมีซิเฟนเพื่อกำจัดไรศัตรูพืชจะไม่กระทบต่อศัตรูพืชชนิดอื่นๆ แต่มีความเป็นพิษต่ำ ดังนั้น ศัตรูพืชอื่นจึงดื้อยากลุ่ม 23 ไปล่วงหน้าแล้ว

    ในต่างประเทศมีรายงานการใช้สไปโรมีซิเฟนและสไปโรไดโคลเฟน​กำจัดแมลงหวี่ขาว​ แต่สำหรับบ้านเราส่วนตัวยังไม่เห็นการทดสอบ​ (ซึ่งอาจมีผู้ทดสอบแล้วก็ได้)

   กลุ่ม 25: ไซฟลูมีโทเฟน​ 20% และไซอีโนไพราเฟน​ 30% เป็นกลุ่มยาไรศัตรูพืช​ที่เปิดตัววางจำหน่ายล่าสุด​ โดยไซฟลูมีโทเฟน​ วางจำหน่ายมาราว​ 5-6 ปี​แล้ว​ ส่วน​ไซอีโนไพราเฟน​ พึ่งวางจำหน่ายเมื่อ พ.ศ.2566

    ไซฟลูมีโทเฟน​ 20% เปิดตัวด้วยอัตราใช้​ 8-10​ ซีซี.​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ ส่วนไซอีโนไพราเฟน​ 30% เปิดตัวด้วยอัตรา​ 4-5​ ซีซี.​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ เมื่อราว​ 3-4​ ปี​ที่แล้ว​ เริ่มพบการรายงานการต้านทานไซฟลูมีโทเฟน​ของไรสองจุด​ (วงศ์ไรแดง)​ ในสตอเบอรี่​ และไรแดงส้มในส้มสายน้ำผึ้ง​ จนในพื้นที่ต้องเพิ่มอัตราใช้​เป็น​ 15​ ซีซี.​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมีการใช้ยาตัวนี้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา​ ในพื้นที่ที่ยังไม่ค่อยมีการใช้มากเท่าไหร่​นั้น​ อัตรา​ 10 ซีซี.​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ ยังมีประสิทธิภาพ​ดีอยู่

    ดังนั้น​ ในพื้นที่ที่มีการใช้ยากลุ่ม​ 25​ อย่างต่อเนื่อง​ ควรเพิ่มอัตราไปอีกเล็กน้อย​ โดยเพิ่มอัตราขึ้น​ราว​ 5 ซีซี.​ ทั้ง​ 2 ตัว​

   ที่สำคัญการใช้ยากำจัดไรศัตรูพืช​ คือ​ การหมุนเวียนสลับกลุ่มยาตามกลุ่มกลไกออกฤทธิ์อย่างต่อเนื่อง​ โดยไม่ควรใช้ยากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งติดต่อกันมากกว่า​ 1 หรือ 2 ครั้ง​ หรือให้ดีควรสลับกลุ่มยาทุกครั้งที่พ่น

    การใช้สารกำจัดไรศัตรูพืชในลักษณะป้องกันก่อนการเข้าทำลาย​ ควรใช้ยากลุ่ม​ 1, 4, 6, 13​ และ​ 15 ​โดยส่วนตัวแนะนำใช้​ ไตรอะโซฟอส​ สลับ​ อะบาแมกติน ผสมร่วมกับไทอะมีทอกแซม​ สลับ คลอฟีนาเพอร์​ เพื่อป้องกันก่อนไรแดงระบาด​, ยากลุ่มอื่นๆ ไม่ค่อยเหมาะสม​เนื่องจากมีฤทธิ์ดูดซึมหรือแทรกซึม​เข้าสู่พืชต่ำ​ ส่วนใหญ่มีฤทธิ์เป็นยาสัมผัส

[1] ไรศัตรูพืช มีทั้งหมดด้วยกัน 4 วงศ์ ดังนี้

    1️. วงศ์ : ไรแดง หรือไรแมงมุม (Spider mite) ชื่อวงศ์เตตระไนชิดี้ (Tetranychidae)

    2️. วงศ์ : ไรแมงมุมเทียม (False spider mite) ชื่อวงศ์ทีนุยพาลพิดี้ (Tenuipalpidae)

    3️. วงศ์ : ไรขาว (Tarsonemid mite) ชื่อวงศ์ทาร์โซเนมิดี้ (Tarsonemidae)

    4️. วงศ์ : ไรสี่ขา (Eriophyid mite) ชื่อวงศ์อีริโอไฟอิดี้ (Eriophyidae)

[2] ตัวอ่อนของเพลี้ยไฟหลายชนิดเป็นแมลงตัวห้ำของไรศัตรูพืช เนื่องจากตัวอ่อนของเพลี้ยไฟมีความต้องการสารอาหารมากเป็นพิเศษ

แหล่งสืบค้น:

    อังศุมาลย์ จันทราปัตย์.2530.การประชุมทางวิชาการปัญหาแมลงปากดูดและไรที่สำคัญของพืชเศรษฐกิจในประเทศไทย “ชีววิทยาและนิเวศวิทยาบางประการของไรสนิมส้ม Some biological and ecological attributes of the citrus rust mite”.สมาคมกีฏและสัตววิทยาแห่งประเทศไทย; กรมวิชาการเกษตร; กรมส่งเสริมการเกษตร; มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์; สมาคมผู้ประกอบธุรกิจสารเคมีกำจัดศัตรูพืช.กรุงเทพฯ.หน้า 109-127.

    เอกสารวิชาการ.2544.ไรศัตรูพืชและการป้องกันกำจัด Phytophagous mites and their control.พิมพ์ครั้งที่ 1; โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.กลุ่มงานวิจัยไรและแมงมุม กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร.192 หน้า.

    เอกสารวิชาการ.2555.การจัดการศัตรูส้มโอเพื่อการส่งออก.สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร. 125 หน้า.

    เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร.2560.เทคนิคการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช.กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชากาเกษตร.119 หน้า.

เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"
ปฏิสัมพันธ์ของธาตุอาหารพืช แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างธาตุอาหารพืชในแง่ของการเจริญเติบโต
By Thirasak Chuchoet December 3, 2024
ปฏิสัมพันธ์ของธาตุอาหารพืช แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างธาตุอาหารพืชในแง่ของผลกระทบที่ธาตุอาหารมีผลต่อการดูดซึมและการใช้ประโยชน์ของพืชในกระบวนการเจริญเติบโต
ผลกระทบของดินเค็มและน้ำเค็ม คือ พืชขาดน้ำ พืชขาดธาตุ ธาตุเป็นพิษ ดินเสีย
By Thirasak Chuchoet November 9, 2024
ผลกระทบของดินเค็มและน้ำเค็ม คือ 1) ทำให้พืชขาดน้ำ การเจริญเติบโตลดลง 2) พืชขาดธาตุบางชนิดหรือธาตุเป็นพิษ​ และ​ 3) ผลกระทบต่อโครงสร้างดิน​ กายภาพของดินเลวลง รากชอนไชยาก
แผลจากบั่วมะม่วงโอกินาวาเมื่อแผลเปลี่ยนเป็นสีดำ อาจทำให้เข้าใจว่าเกิดจากการเข้าทำลายของโรคแอนแทรคโนส
By Thirasak Chuchoet October 22, 2024
แผลที่เกิดจากบั่วมะม่วงโอกินาวาเมื่อแผลเปลี่ยนเป็นสีดำ อาจทำให้เข้าใจว่าเกิดจากการเข้าทำลายของโรคแอนแทรคโนส ซึ่งมีลักษณะแผลที่คล้ายคลึงกัน
บั่วปมมะม่วง เป็นแมลงขนาดเล็กรูปร่างเหมือนยุง มีหนวดและขายาว ซึ่งพบได้บ่อยในมะม่วงที่ขาดการดูแล
By Thirasak Chuchoet October 22, 2024
บั่วปมมะม่วง เป็นแมลงขนาดเล็กรูปร่างเหมือนยุง มีหนวดและขายาว ซึ่งพบได้บ่อยในมะม่วงที่ขาดการดูแลป้องกัน โดยเฉพาะช่วงออกดอก-ติดผล
โรคไวรัสวงแหวนมะละกอเป็นโรคที่สร้างความเสียหายรุนแรง มีเพลี้ยเป็นพาหะและติดต่อผ่านการสัมผัส
By Thirasak Chuchoet October 7, 2024
โรคไวรัสวงแหวนมะละกอเป็นโรคที่สร้างความเสียหายรุนแรง การป้องกันแมลงพาหะและการจัดการด้วยวิธีผสมผสานเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการลดความเสียหาย [การกำจัดแมลงพาหะ ห้าม!! ใช้คลอฟีนาเพอร์]
แพคโคลบิวทราโซล มีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์จิบเบอเรลลินและส่งเสริมการออกดอกนอกฤดู
By Thirasak Chuchoet October 7, 2024
พ่นสารแพคโคลบิวทราโซล​ร่วมกับ​เหล้าขาว​​ จะส่งเสริมการออกดอกของทุเรียนดีกว่าไม่ผสมเหล้าข้าว.. จริงหรือ..? หรือแค่อุปทานไปเอง.!!
โรคใบจุดมะละกอเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย การป้องกัน-กำจัดโรคควรใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชอย่างเหมาะสม
By Thirasak Chuchoet October 5, 2024
โรคใบจุดในมะละกอเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย การป้องกันและจัดการโรคควรใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชอย่างเหมาะสม การกำจัดใบที่ติดเชื้อและการเลือกพันธุ์ที่ต้านทานโรค ล้วนเป็นปัจจัยที่สำคัญ
โรคใบไหม้ในมะเขือเทศ เป็นโรคที่สำคัญและสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงทั้งใบ ลำต้นและผล
By Thirasak Chuchoet October 5, 2024
โรคใบไหม้ในมะเขือเทศ เป็นโรคที่สำคัญของมะเขือเทศ สร้างทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงกับใบ กิ่งก้าน ลำต้นและผล การจัดการต้องอาศัยการปฏิบัติทางเกษตรที่เหมาะสม และการควบคุมโรคผ่านการใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชร่วมกับวิธีเขตกรรม
โรคแอนแทรคโนสในผลมะละกอ ปัญหาที่สำคัญคือ ก่อให้เกิดแผลเน่าบุ๋มในระยะสุกแก่หรือผลเปลี่ยนสี
By Thirasak Chuchoet September 30, 2024
โรคแอนแทรคโนสในผลมะละกอ ปัญหาที่สำคัญคือ ก่อให้เกิดแผลเน่าบุ๋มในระยะสุกแก่หรือผลเปลี่ยนสี แต่ระยะเก็บเกี่ยวผลไม่ปรากฏอาการของโรค ซึ่งเป็นรูปแบบการเข้าทำลายแบบเชื้อแฝง
More Posts
Share by: