โรคราแป้งในมะม่วง (Powdery mildew disease of mango)
สาเหตุ: เชื้อรา ซูโดอิเดียม แอนาคาร์ไดอิ (Pseudoidium anacardii Braun and Cook (2012) หรือPs. mangiferae)
เดิมชื่อ ออยเดียม แมงจิเฟออี้ (Oidium mangiferae Berthet)
Family: Erysiphaceae
Genus: Erysiphe
Subgenus: Pseudoidium (เดิม Oidium)
เชื้อราก่อโรคราแป้ง (Powdery mildew disease) เป็นโรคพืชที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง มีพืชอาศัยกว้างหลายประเภท ทั้งธัญพืช พืชไร่ ไม้พุ่ม ผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ดอกไม้ประดับ และวัชพืชดำรงชีวิตเป็นแบบปรสิตถาวร (obligate parasite) ลักษณะอาการของโรคที่ปรากฏจะคล้ายกันในทุกพืช การเข้าทำลายจะพบเป็นกลุ่มผงแผ่กว้างกระจายเป็นปื้นหรือคราบผงค่อนข้างกลม มีสีขาวถึงสีขาวอมเทา พบได้เกือบทุกส่วนของพืช เช่น ยอดอ่อน ใบ ก้านช่อดอก ดอก ผล สำหรับใบพืชสามารถพบการเจริญของเชื้อราได้ทั้งบริเวณผิวด้านบนของใบ (epiphyllous) และบริเวณด้านใต้ใบพืช (hypophyllous)
เชื้อราแป้งในจีนัสย่อยซูโดอิเดียม (subgenus: Pseudoidium) จัดเป็นเชื้อราที่มีเส้นใยแบบเส้นใยปรสิตภายนอก (ectophytic mycelium)[1] คือเชื้อรามีเส้นใย (mycelium) เจริญอยู่ภายนอกพืชแล้วสร้างเส้นใยที่ทำหน้าที่เฉพาะ (specialized hyphae) ในการดูดซับสารอาหารจากพืช ที่เรียกว่า haustoria แทงเข้าสู่ชั้นใต้ไขเคลือบผิวใบพืชและดูดซับสารอาหารอยู่ภายในชั้นอีพิเดอมิสเซลล์ (epidermal cell) เส้นใยไม่เจริญเข้าสู่เนื้อเยื่อภายใน จึงมักพบกลุ่มผงสีขาวหรือคราบคล้ายแป้งของราแป้งเจริญอยู่ใบผิวด้านบนของใบ (epiphyllous)
ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเชื้อราแป้งสามารถสร้างสปอร์ใหม่ขึ้นภายใน 4 วัน หลังจากที่เชื้อสัมผัสพืช สปอร์จะถูกชูขึ้นไปในอากาศและแพร่กระจายต่อไป
เชื้อราแป้งจีนัสย่อยซูโดอิเดียม
เป็นสาเหตุก่อโรคพืชที่สำคัญในหลายพืช เช่น ทุเรียน มะม่วง เงาะ องุ่น ยางพารา สตรอเบอรี่ มะขาม กุหลาบ ทานตะวัน มะเขือ ตำลึง น้ำนมราชสีห์ หญ้าละออง แค เป็นต้น แม้เชื้อราแป้งจะก่อโรคในพืชหลายชนิด แต่เชื้อราแป้งที่ก่อโรคนั้นจะเป็นคนละสปีชีส์กัน (species) ซึ่งแต่ละสปีชีส์จะมีความจำเพาะต่อพืชอาศัย
[1]ราแป้งที่เจริญอยู่บริเวณด้านใต้ใบพืช (hypophyllous) ได้แก่ genus Ovulariopsis, Oidiopsis และ Streptopodium มีเส้นใยที่ทำหน้าที่ดูดซับสารอาหารจากพืชแบบเส้นใยปรสิตภายใน (endophytic mycelium) จะสร้างเส้นใย haustorium เจริญผ่านเข้าไปดูดซับสารอาหารภายในเนื้อเยื่อพืชผ่านทางปากใบ (stomata) แต่ไม่แทงเข้าไปในชั้นอีพิเดอมิสเซลล์
ภาพที่ 1: โรคราแป้งที่เกิดขึ้นกับวัชพืชที่อยู่ข้างแปลงหรือภายในแปลง
ในประเทศไทยส่วนใหญ่พบในมะม่วงที่ปลูกบนพื้นที่สูงบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากกว่าพื้นที่อื่น โรคราแป้งสามารถเข้าทำลายได้ทั้งที่ใบ ดอก ช่อดอก และผลอ่อน
อาการเริ่มต้นมักพบที่ใบแก่มากกว่าในใบเพสลาดและใบอ่อน โดยจะมีอาการใบเป็นจุดปื้นเหลืองค่อนข้างใหญ่บริเวณหน้าใบ และพบคราบผงสีขาวผงสีเทาอ่อนที่ใต้ใบตรงกับจุดปื้นเหลืองนั้น สำหรับใบอ่อนและยอดอ่อนจะพบอาการใบปื้นคล้ำ มีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีน้ำตาลอมแดงคล้ายจุดใบไหม้ บางครั้งในระยะแรกอาจมีสีชมพูคล้ำ
หากอาการของโรครุนแรงจะทำให้ใบบิดเบี้ยว ม้วนงอและใบหลุดร่วงก่อนกำหนด ในใบอ่อนใบจะบิดโค้ง ยอดเป็นพุ่มแจ้ ในช่วงอุณหภูมิสูง อากาศร้อนจัด ประกอบกับมะม่วงขาดน้ำอาจทำให้ใบอ่อนเกิดอาการใบไหม้แทรกซ้อนและใบร่วงหล่นได้ง่าย
ตาใบ-ตาดอก
ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรครุนแรงมาก่อน อาจมีการสะสมของเชื้อรา โดยเชื้อราแป้งจะพักตัวตามตาใบหรือปลายยอดบริเวณที่จะเกิดตาดอกมะม่วง เมื่อมีการแทงยอดอ่อน-ใบอ่อน หรือแทงช่อดอก เชื้อราจะสร้างสปอร์เข้าสู่ใบหรือช่อดอกได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ตาใบ-ตาดอกฟ่อ มักพบในช่วงอากาศเย็น ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ 60-90% และการถ่ายเทอากาศไม่ดี หรือทรงพุ่มแน่นทึบ
ภาพที่ 2: โรคราแป้งในใบอ่อน-ใบเพสลาดของมะม่วง, มีอาการใบปื้นเป็นวงขนาดใหญ่สีชมพูอ่อน และมีแต้มจุดสีขาวที่เกิดจากแมลงบั่วปมโอกินาว่า
ภาพที่ 3: โรคราแป้งในใบอ่อน-ใบเพสลาดของมะม่วง, ระยะพบคราบผงแป้งของเชื้อราแป้ง และแผลจุดสีดำล้อมด้วยขอบสีเหลือง ที่เกิดจากแมลงบั่วปมโอกินาว่า
ภาพที่ 4: โรคราแป้งในใบอ่อน-ใบเพสลาดของมะม่วง, คราบผงแป้งด้านใต้ใบและเส้นใบไหม้เปลี่ยนเป็นสีดำ
การเข้าทำลายช่อดอกพบได้ทุกพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการแทงช่อดอกมะม่วงช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม ส่วนช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน สามารถพบการเข้าทำลายของโรคได้เช่นกัน ช่อดอกมะม่วงจะมีความเสี่ยงเกิดโรคราแป้งมากกว่าส่วนอื่นของต้น และทำให้ดอกฟ่อ ผสมเกสรไม่สมบูรณ์ ดอกหลุดร่วงหรือผลอ่อนหลุดร่วงเกิดความเสียหายมากถึง 90%
อาการที่เกิดกับช่อดอกในระยะเริ่มแรกจะปรากฏจุดเล็กๆ สีขาว หรือสีขาวอมเทา จากนั้นจึงพบลักษณะเป็นผงสีขาวคล้ายแป้งปกคลุมตามก้านชูดอก ก้านช่อดอกย่อย และดอก ช่อดอกจะแห้งกร้าน ก้านช่อดอกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ทำให้ดอกร่วง ช่อดอกแห้งเหี่ยว และไม่ติดผล ช่อดอกที่อยู่บริเวณตอนล่างหรือกลางลำต้น หรือช่อดอกที่อยู่ในเรือนพุ่มจะเกิดโรคได้ง่าย
ปัจจุบันมักพบว่ามีเชื้อราก่อโรคชนิดอื่นเข้าทำลายแทรกซ้อนร่วมด้วย ทำให้เกิดอาการช่อดอกแห้งกร้าน ดอกร่วงอย่างรวดเร็ว ก้านช่อดอกและก้านช่อดอกย่อยเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ช่อดอกแห้งตาย ลักษณะเช่นนี้มักเรียกกันว่า "โรคช่อดอกดำมะม่วง" เชื้อราสำคัญที่เข้าแทรกซ้อน เช่นเชื้อราคอลเล็คโตทริคั่ม (โรคแอนแทรคโนส; Colletotrichum sp.) เชื้อราฟิวซาเรียม (โรคช่อดอกพุ่มแจ้หรือช่อดอกไม้กวาด; Fusariumspp.) เชื้อราอัลเทอนาเรีย (Alternaria sp.) เชื้อราเคอวูลาเรีย (Curvularia sp.) เชื้อราคลาโดสปอเรียม (Cladosporium sp.) เชื้อราจีโอทริคั่ม (Geotrichum sp.) เชื้อราไนโกรสปอร่า (Nigrospora sp.) หรือเชื้อราแพสตาโลทิออพซีส (Pestalotiopsis sp.)
นอกจากนี้ ในระยะช่วงดอกมะม่วงกำลังตั้งช่อเป็นฉัตรหรือระยะดอกก้างปลา มักจะเริ่มพบการระบาดของเพลี้ยไฟทำให้เกิดอาการช่อแห้งไหม้ ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดโรคราแป้งและโรคช่อดอกดำรุนแรง จนบางครั้งแยกสาเหตุการเกิดโรคได้ยาก
ภาพที่ 5: ลักษณะผงสีขาวคล้ายแป้ง ที่เกิดจากโรคราแป้งบนช่อดอกมะม่วง
ภาพที่ 6: โรคราแป้งที่ปรากฏบนช่อดอกมะม่วง, ช่อดอกแห้งเหี่ยว ดอกฝ่อและไม่ติดผลอ่อน
ภาพที่ 7: โรคราแป้งที่ปรากฏบนช่อดอกมะม่วง, ช่อดอกแห้งเหี่ยว ดอกฝ่อและไม่ติดผลอ่อน
สำหรับช่อดอกที่สามารถติดผลได้ เชื่อราจะเข้าสู่ผลอ่อน ทำให้ผลอ่อนชะงักการเจริญ และเปลี่ยนเป็นสีคล้ำมีคราบผงคล้ายแป้งสีขาวปกคลุม ส่วนผลที่โตแล้วหรือเข้าระยะไคล เชื้อราที่เข้าสู่ผลระยะนี้จะทำให้ผิวแห้งตกกระ
ภาพที่ 8: โรคราแป้งที่ปรากฏบนช่อดอกมะม่วง, หากมีการติดผลเชื้อราจะเข้าสู่ผลและขั้วผล ทำให้ผลชะงักการพัฒนา
ภาพที่ 9: โรคราแป้งที่ปรากฏบนช่อดอกมะม่วง, หากมีการติดผลเชื้อราจะเข้าสู่ผลและขั้วผล ทำให้ผลชะงักการพัฒนา
โรคราแป้งในมะม่วงพบได้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย แต่จะพบการแพร่ระบาดและสร้างสปอร์สืบพันธุ์มากในพื้นที่สภาพอากาศแห้งและเย็น โดยสปอร์สืบพันธุ์จะแพร่กระจายไปกับกระแสลม ซึ่งมักตรงกับช่วงระยะการแทงช่อดอกของมะม่วง (เดือน ธ.ค. - ก.พ.) จึงเป็นโรคพืชที่มีความสำคัญมากในระยะมะม่วงแทงช่อดอกและติดผลอ่อน สปอร์ของเชื้อราแพร่กระจายไปกับลมได้ดีในช่วงกลางวัน เนื่องจากความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ เนื่องจากเชื้อราแป้งจะแพร่กระจายได้ดีในช่วงอากาศแห้งซึ่งต่างจากเชื้อราชนิดอื่นที่ชอบความชื้น การแพร่ระบาดของเชื้อราแป้งสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงอุณหภูมิระหว่าง 10-35 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 60-90% แต่แพร่กระจายและสร้างสปอร์สืบพันธุ์ได้ดีในช่วงอุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ 60-70%
เชื้อราแป้งสามารถอาศัยและพักตัวอยู่ได้นานข้ามปี ในพืชที่อื่นที่อยู่ข้างสวนมะม่วงหรือในวัชพืช เมื่อสภาพอากาศเหมาะสมจึงแพร่สปอร์ไปในอากาศ
การป้องกัน:ควรพ่นสารป้องกันกำจัดโรคตั้งแต่ระยะแทงช่อดอก (ระยะเดือยไก่) ถึงระยะก่อนดอกบาน โดยพ่นทุกๆ 10-14 วัน หรือหากพบโรคราแป้งที่ช่อดอกมะม่วง และ/หรือโรคช่อดอกดำ ควรพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชทุก 7 วัน ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้ง
สารป้องกันกำจัดโรคราแป้งที่แนะนำ ประกอบด้วย
1. สารป้องกันกำจัดโรคพืช กลุ่ม 11+3 เช่น อะซอกซี่สโตรบิน 20%+ไดฟิโนโคนาโซล 12.5% SC (ชื่อการค้า เช่น ทวินโป, ราซัส หรือสโตรดี้) ป้องกันใช้อัตรา 10 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร เมื่อพบโรคใช้อัตรา 15-20 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไพราโคลสโตรบิน 13.3%+อีพอกซีโคนาโซล 5% SE ป้องกันใช้อัตรา 20 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร เมื่อพบโรคใช้อัตรา 25-30 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร
2. สารป้องกันกำจัดโรคพืช กลุ่ม 11 เช่น อะซอกซี่สโตรบิน 25% (ชื่อการค้า เช่น แบคซีน, ไซซอกซี่ และการัน) หรือ ไพราโคลสโตรบิน 25% (ชื่อการค้า เช่น แพ็คสโตรบิน, ไซสโตรบิน และแอ็กไลน์) ป้องกันใช้อัตรา 10 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือเมื่อพบโรคใช้อัตรา 15-20 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร
3. สารป้องกันกำจัดโรคพืช กลุ่ม 3 เช่น เฮกซะโคนาโซล 5% SC (ชื่อการค้า เช่น วิวสต็อป, เฮกไซด์ หรือแอ็กวิล) ป้องกันใช้อัตรา 30-40 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือเมื่อพบโรคใช้ ไมโคลบิวทานิล 24% EC (แนะนำ) อัตรา 25-30 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร
เลือกใช้สารตัวใดตัวหนึ่งตามด้านบนผสมร่วมกับสารป้องกันกำจัดโรคพืชที่มีหนทางเข้าสู่พืชเป็นยาสัมผัส สำหรับระยะช่อดอกมะม่วงแนะนำกลุ่ม M03
คือ โพรพิเนบ 70% WP (ชื่อการค้า เช่น
พีโคล70,
ไซทราโคล70 หรือเดซี่) ป้องกันหรือพบการระบาดของโรค ใช้อัตรา 30-50 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือทดแทนด้วย แมนโคเซบ 80% WP (ชื่อการค้า เช่น พีเทน80,
โคแนน หรือมาเฟอร์) ป้องกันหรือพบการระบาดของโรค ใช้อัตรา 30-50 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือกลุ่ม M05 คือ คลอโรทาโลนิล 50% SC ป้องกันหรือพบการระบาดของโรค ใช้อัตรา 30-50 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร
โดยหลักการป้องกันหรือชะลอการดื้อยาของโรค-แมลงและวัชพืช คือการสลับกลุ่มยาตามกลไกการออกฤทธิ์ ณ ตำแหน่งเป้าหมายการออกฤทธิ์หรือจุดจับของยาในระดับโมเลกุลของศัตรูพืช เพื่อให้จุดจับออกฤทธิ์ ณ ตำแหน่งเป้าหมายไม่ซ้ำตำแหน่งเดิม
สำหรับกรณีสารป้องกันกำจัดโรคพืชมีข้อดีเหนือกว่าสารกำจัดแมลงและสารกำจัดวัชพืชประการหนึ่ง คือมียาที่ออกฤทธิ์หลายกลไกหรือหลายตำแหน่งในยา 1 ตัว ได้แก่ ยากลุ่ม M01 ถึง M12 เช่น แมนโคเซบ โพรพิเนบ คลอโรทาโลนิล
อาจารย์อรพรรณ วิเศษสังข์
(จำปีที่อบรมไม่ได้) กล่าวในการอบรมโรคพืชช่วงหนึ่ง
"มีงานวิจัยของประเทศสรุปว่า การพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชที่มีคุณสมบัติเข้าสู่พืชแบบดูดซึม (systemic, translaminar และ stoma action) เช่น ยากลุ่ม 11, 3, 1, 4, 27 ร่วมกับสารป้องกันกำจัดโรคพืชที่มีคุณสมบัติเข้าสู่พืชแบบสัมผัส (contact action) เช่น ยากลุ่ม M แล้วสลับด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชที่มีคุณสมบัติเข้าสู่พืชแบบสัมผัส จะช่วยชะลอความต้านทานของโรคพืช (ดื้อยา) ลงได้"
ระยะเริ่มแทงช่อดอก (เดื่อยไก่): พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิด "ยาดูดซึม + ยาสัมผัส"
ได้แก่ โพรคลอราช 45% EC (กลุ่ม 3, ชื่อการค้า เช่น โบแอ็ก, ไซราซ และออนเนอร์) อัตรา 15-20 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โพรคลอราซ 25%+คาร์เบนดาซิม 25% WP (กลุ่ม 3+1, ชื่อการค้า เช่น คลอราส์) อัตรา 30-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมร่วมกับโพรพิเนบ 70% (กลุ่ม M03) อัตรา 30-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 1-2 ครั้ง ทุกๆ 9-10 วัน
พ่นสลับยาด้วย: สารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิด "ยาสัมผัส"
ได้แก่ ยากลุ่ม M03 ได้แก่ โพรพิเนบ 70% WP หรือแมนโคเซบ 80% WP อัตรา 30-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือกลุ่ม M05 ได้แก่ คลอโรทาโลนิล 50% SC หรือ 50% WP อัตรา 30-40 ซีซี. หรือกรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 1 ครั้ง
พ่นสลับยาด้วย: พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิด "ยาดูดซึม + ยาสัมผัส"
ได้แก่ อะซอกซี่สโตรบิน 20%+ไดฟิโนโคนาโซล 12.5% SC (กลุ่ม 11+3) อัตรา 10-15 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมร่วมกับโพรพิเนบ 70% (กลุ่ม M03) พ่น 1-2 ครั้ง (เว้นระยะดอกบาน) โดยพ่นทุกๆ 7-10 วัน
พ่นสลับยาด้วย: สารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิด "ยาสัมผัส"
ได้แก่ ยากลุ่ม M03 ได้แก่ โพรพิเนบ 70% WP หรือแมนโคเซบ 80% WP อัตรา 30-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือกลุ่ม M05 ได้แก่ คลอโรทาโลนิล 50% SC หรือ 50% WP อัตรา 30-40 ซีซี. หรือกรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 1 ครั้ง
หลังติดผลอ่อน: พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิด "ยาดูดซึม + ยาสัมผัส"
ได้แก่ เฮกซะโคนาโซล 5% SC (กลุ่ม 3) อัตรา 30 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะซอกซี่สโตรบิน 20%+ไดฟิโนโคนาโซล 12.5% SC (กลุ่ม 11+3) อัตรา 10 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมร่วมกับโพรพิเนบ 70% (กลุ่ม M03) พ่น 2 ครั้ง โดยพ่นทุกๆ 7-10 วัน
เมื่อผลเข้าไคล (หลังดอกบาน 25-30 วัน): พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิด "ยาดูดซึม + ยาสัมผัส"
ก่อนห่อผลพ่นด้วย โพรคลอราช 45% EC (กลุ่ม 3, ชื่อการค้า เช่น โบแอ็ก) อัตรา 15-20 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โพรคลอราซ 25%+คาร์เบนดาซิม 25% WP (กลุ่ม 3+1, ชื่อการค้า เช่น คลอราส์) อัตรา 30-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมร่วมกับโพรพิเนบ 70% (กลุ่ม M03) อัตรา 30-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร
*1 โพรคลอราซ ไดฟิโนโคลนาโซล อะซอกซี่สโตรบิน และไพราโคลสโตรบิน ใช้ป้องกันกำจัดโรคแอนแทรคโนสและโรคช่อดอกดำของมะม่วงได้ โดยเฉพาะโพรคลอราซ
*2 โพรคลอราซ มีข้อห้ามใช้ในมะม่วงพันธุ์โบราณบางสายพันธุ์ เช่น มันขุนศรี (บางขุนศรี), ทวายเดือนเก้า (มันเดือนเก้า), หนังกลางวัน, ลิ้นงูเห่า, แก้วลืมรัง, ยายกล่ำ เป็นต้น เพราะอาจเกิดอาการดอกไหม้ ใบไหม้ และผลไหม้ได้
*3 ไม่แนะนำพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชเหล่านี้ ในระยะมีดอก ถึง ผลเข้าไคลของมะม่วง ได้แก่ ไตรฟลอกซี่สโตรบิน 25%+ทีบูโคนาโซล 50% WG, ทีบูโคนาโซล 25%, 43% และ 45%, ไดฟิโนโคลนาโซล 15%+โพรพิโคนาโซล 15% EC, โพพิโคนาโซล 25% และ 45% เพราะมีผลต่อการขยายขนาดผล (รัดลูก)
หรือไมโคลบิวทานิล 24% EC ห้ามพ่นเกินอัตราแนะนำด้านบน และไม่ควรพ่นต่อเนื่องกันเกิน 2 ครั้ง เพราะมีผลต่อการขยายขนาดผล (รัดลูก)
ชัยวัฒน์ โตอนันต์. 2548. เอกสารคำสอนวิชาเชื้อราแป้ง. ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตรศาสตร์. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 117 หน้า.
พรศิลป์ สีเผือก, ชัยสิทธิ์ ปรีชา, เวที วิสุทธิแพทย์, พรศิลป์ สีเผือก, ชัยสิทธิ์ ปรีชา, เวที วิสุทธิแพทย์. (2555). การศึกษาการแพร่ระบาด ความรุนแรงของโรคราแป้งของเงาะ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชและพัฒนาแนวทางในการควบคุมโรคราแป้งDistribution and Severity Assessment of Powdery Mildew of Rambutan in Nakhon Sri Thammarat Province and Developing the Control Approach. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย.
ไพโรจน์ จ๋วงพานิช.2525.หลักวิชาโรคพืช PRINCIPLE OF PLANT PATHOLOGY.ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ 2 (ปรับปรุงเพิ่มเติม) : บริษัท สารมวลชน จำกัด.393 หน้า.
นิพนธ์ วิสารทานนท์.2542.โรคไม้ผลเขตร้อนและการป้องกันกำจัด.เอกสารเผยแพร่ทางวิชาการ หลักสูตร “หมอพืช-ไม้ผล” ฉบับที่1 โครงการเพื่อบรรเทาผลกระทบเนื่องจากวิกฤติทางเศรษฐกิจ ปี 2542.ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ 2 : บริษัท เจ ฟิล์ม จำกัด.172 หน้า.
เอี่ยน ศิลาย้อย.2561.โรคพืชไม้ผล สมุนไพร และการป้องกันกำจัด.พิมพ์ครั้งที่ 4.
เอกสารเกี่ยวกับการจำแนกเชื้อราแป้ง. เว็ปไซด์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
<http://cmuir.cmu.ac.th/bitstream/6653943832/19870/5/patho0450nw_ch2.pdf. Retrieved 12 June 2023.>
Latiffah ZakariaORCID.2022.Fungal and Oomycete Diseases of Minor Tropical Fruit Crops
by Latiffah ZakariaORCID.Horticulturae 2022, 8(4), 323; https://doi.org/10.3390/horticulturae8040323. Published: 11 April 2022. Retrieved 12 June 2023.
M. Reuveni and R. Reuveni.Efficacy of foliar sprays of phosphates in controlling powdery mildews in field-grown nectarine, mango trees and grapevines.Crop Protection Volume 14, Issue 4, June 1995, Pages 311-314.https://doi.org/10.1016/0261-2194(94)00009-W.
<www.sciencedirect.com.>
Moshe Reuveni, Lior Gur and Amotz Farber.Development of improved disease management for powdery mildew on mango trees in Israel.Crop Protection Volume 110, August 2018, Pages 221-228.https://doi.org/10.1016/j.cropro.2017.07.017.
<www.sciencedirect.com.>
Moshe Reuveni.Efficacy of trifloxystrobin (Flint), a new strobilurin fungicide, in controlling powdery mildews on apple, mango and nectarine, and rust on prune trees.Crop Protection Volume 19, Issue 5, June 2000, Pages 335-341.https://doi.org/10.1016/S0261-2194(00)00026-0.
<www.sciencedirect.com.>
Scot C. Nelson. Mango Powdery Mildew.Department of Plant and Environmental Protection Sciences.Plant Disease.Aug, 2008, PD-46.College of Tropical Agriculture and Human Resources (CTAHR )of Hawai‘i at Mänoa.
<http://www.ctahr.hawaii.edu/freepubs>
Mardubai by James Thirasak
มือถือ. 082-353-5156
อีเมล. thirasak.chuchoet@gmail.com
ร้านหัวถนนการเกษตร-289
เลขที่ 52/4 ถ.นครศรีฯ-ปากพนัง ต.ในเมือง
อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
80000