ปัจจุบัน (พ.ศ.2567) สารกำจัดแมลง (insecticides) ได้จำแนกกลุ่มตามกลไกออกฤทธิ์ ณ จุดจับหรือตำแหน่งที่ออกฤทธิ์ (Mode of action / Site of action) โดยแบ่งออกเป็น 36 กลุ่ม กับอีก 7 กลุ่มที่ยังไม่ทราบกลไกที่แน่ชัด และในอนาคตน่าจะมีกลุ่มกลไกใหม่ๆ เพิ่มเติมออกมาอย่างแน่นอน ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์บวกกับการวิจัยค้นคว้าอย่างต่อเนื่องของบริษัทผู้ผลิตในต่างประเทศ เมื่อย้อนกับไปเมื่อราว 10 ปีก่อนหน้า (พ.ศ.2552-2555) นักวิชาการไทยและบริษัทผู้จำหน่ายสารกำจัดแมลงเริ่มตื่นตัวกับการจำแนกกลุ่มแบบใหม่ตามกลไกการออกฤทธิ์ที่ตำแหน่งต่างๆ ที่เล็กกว่าอวัยวะระดับเซลล์[1] ซึ่ง ณ ปีนั้นมีกลุ่มเพียง 28 กลุ่ม และกลุ่มที่ยังไม่ทราบกลไกออกฤทธิ์อีก 3-4 กลุ่ม นอกจากสารกำจัดแมลงแล้ว สารป้องกันกำจัดโรคพืช (fungicides) และสารกำจัดวัชพืช (herbicides) ก็จำแนกกลุ่มตามกลไกการออกฤทธิ์เช่นเดียวกัน
[1]อวัยวะระดับเซลล์ เป็นคำเปรียบเทียบเพื่อให้เข้าใจง่ายในบทความ ในทางวิชาการเรียกว่า “ออร์แกแนล (organelles)”
เหตุที่มีการจำแนกกลุ่มใหม่ เป็นเพราะการสร้างความต้านทานของแมลง (resistance) หรือที่เรียกกันติดปากว่า "แมลงดื้อยา" โดยที่ในอดีตแม้มีคำแนะนำการใช้สารกำจัดแมลงสลับชนิดกัน เช่น คาร์บาริล สลับ เบนฟูราคาร์บ สลับ ฟีโนบูคาร์บ หรือสลับกลุ่มตามกลุ่มสารเคมี เช่น ฟิโนบูคาร์บ ซึ่งเป็นสารประกอบในกลุ่มสารเคมีคาร์บาเมท (carbamates) สลับ โปรฟีโนฟอส เป็นสารประกอบในกลุ่มสารเคมีออร์กาโนฟอสเฟต (organphosphates) ถึงกระนั้นก็ยังพบการสร้างความต้านทานของศัตรูพืช
กลไกการออกฤทธิ์ในทางวิชาการ จะหมายถึง สารออกฤทธิ์ (สารกำจัดศัตรูพืช) เข้าไปจับกับโมเลกุลเป้าหมายภายในระดับเซลล์ (target site) เช่น เอนไซม์ (enzymes) โปรตีนตัวรับ (receptor proteins)[2] ทำให้เอนไซม์ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เกิดภาวะล้มเหลวของกระบวนการต่างๆ ขึ้น ส่งผลให้ร่างกายเกิดความผิดปกติ เป็นอัมพาตและตายในที่สุด สารต่างๆ ที่เข้าจับโมเลกุลเป้าหมายได้จึงจะเป็นพิษต่อศัตรูพืช หากสารจับกับโมเลกุลเป้าหมายได้ลดลงจะทำให้ความเป็นพิษลดลงและควบคุมศัตรูพืชไม่ได้
[2]โปรตีนตัวรับ (receptor proteins) เป็นกลุ่มโมเลกุลของกรดอะมิโนที่เชื่อมต่อกันหรือรวมกันเป็นโปรตีนที่มีหน้าที่เฉพาะ โดยแทรกตัวอยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์ (cell mambrane) เช่น Ionic channel proteins เป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นช่องผ่านของสารที่อยู่ภายนอกเซลล์ให้ไหลเข้าสู่ภายในเซลล์ จึงทำให้เยื้อหุ้มเซลล์มีคุณสมบัติคัดเลือกสารเข้า-ออกเซลล์ หรือ receptor proteins ที่ทำหน้าที่ตอบสนองต่อตัวกระตุ้นและสั่งการทำงาน เป็นต้น
การจับของสารกำจัดแมลงแต่ละกลุ่มจะมีความจำเพาะเจาะจงต่อโมเลกุลเป้าหมาย (target site) และจุดจับหรือตำแหน่งจับ (binding site) ที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างของสารประกอบเคมีที่มีหมู่ฟังชั่นที่แตกต่างกัน หมู่ฟังชั่นทางเคมีที่รวมกันเป็นสารประกอบเคมีทำให้สารกำจัดแมลงมีความสามารถในการจับกับโมเลกุลเป้าหมายและจุดจับต่างกัน และคุณสมบัติของการมีขั้วประจุบวก/ลบของสารกำจัดแมลง (polarity) จะทำให้การจับมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่าง: สารที่มีโครงสร้างทางเคมีต่างกัน แต่หมู่ฟังชั่นมีคุณสมบัติการจับโมเลกุลเป้าหมายและจุดจับเหมือนกัน จึงจำแนกเป็นกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ สารไอโซโปรคาร์บ อยู่ในกลุ่มสารเคมีคาร์บาเมท และสารไดคลอวอส อยู่ในกลุ่มสารเคมีออร์กาโนฟอสเฟต ทั้ง 2 โครงสร้างสารเคมีมีจุดจับที่เอนไซม์อะซีทิลโคลีนเอสเทอเรส (Acetylcholinesterase; AChE) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่อยู่บริเวณช่องว่างระหว่างเส้นประสาท (synaptic cleft) ทำหน้าที่ย่อยสลายสารสื่อประสาทเพื่อลดระดับกระแสประสาท สารไอโซโปรคาร์บและไดคลอวอส จะมีความเจาะจงจับกับเอนไซม์ชนิดนี้ ทำให้เกิดความเป็นพิษและเอนไซม์ดังกล่าวไม่สามารถย่อยสารสื่อประสาท เพื่อลดระดับกระแสประสาทได้ โดยสารกำจัดแมลงทั้ง 2 ชนิด ได้รับการจำแนกกลุ่มตามกลไกออกฤทธิ์อยู่ในกลุ่ม 1A (คาร์บาเมท) และ 1B (ออร์กาโนฟอสเฟต) ตามลำดับ
ตัวอย่าง:สารที่มีโครงสร้างทางเคมีต่างกัน มีหมู่ฟังชั่นที่มีคุณสมบัติการจับโมเลกุลเป้าหมายเดียวกัน แต่จุดจับต่างกัน จึงจำแนกเป็นคนละกลุ่ม เช่น สารฟิโพรนิล อยู่ในกลุ่มสารเคมี ฟีนิลไพราโซล (phenylpyrazoles หรือ fiproles) จำแนกกลุ่มตามกลไกออกฤทธิ์อยู่ในกลุ่ม 2B และสารโบรฟลานิไลด์ อยู่ในกลุ่มสารเคมีเมต้า-ไดอะไมด์ (meta-diamides) จำแนกกลุ่มตามกลไกออกฤทธิ์อยู่ในกลุ่ม 30 โดยสารทั้ง 2 กลุ่ม จะจับกับโปรตีนตัวรับที่เป็นช่องผ่านของคลอไรด์ไอออนที่จะถูกกระตุ้นการทำงานให้เปิดช่องด้วยกรดแกมม่าอะมิโนบิวทิริก หรือเรียกสั้นๆ ว่า กาบา (GABA-gated chloride channel) ซึ่งช่องผ่านนี้อยู่บริเวณปลายตัวรับกระแสประสาท (postsynaptic neuron) ของเส้นประสาทส่วนรับ (dendrite) ซึ่งอยู่ระหว่างช่องว่างเส้นประสาท เพื่อรับกระแสประสาทจากเซลล์ประสาทก่อนหน้าและถ่ายทอดกระแสประสาทต่อไป โดยสารฟิโพรนิล จะเข้าไปจับภายในช่องผ่านทำให้ขัดขวางการไหลของคลอไรด์ไอออนเข้าสู่ปลายตัวรับกระแสประสาท (postsynaptic neuron) แม้จะมีสารสื่อประสาทกาบากระตุ้นการเปิดช่องผ่านก็ตาม การขัดขวางช่องผ่านทำให้ไม่เกิดการยับยั้งกระแสประสาทที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อจะหดเกร็ง เกิดภาวะเป็นอัมพาต (contractive paralysis) ส่วนสารโบรฟลานิไลด์ จะจับกับตัวคุมชนิด "อัลโลสเตอริก (allosteric modulator)" ทำให้ช่องเปิดตลอดเวลา เกิดการยับยั้งกระแสประสาทต่อเนื่องทำให้ไม่สามารถส่งกระแสประสาทได้ เป็นผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดภาวะอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก (flaccid paralysis)
อีกตัวอย่างที่มีลักษณะคล้ายสารกำจัดแมลงกลุ่ม 2B และกลุ่ม 32 คือ สารกำจัดแมลงกลุ่ม 4A, 4C และ4D, กลุ่ม 5, กลุ่ม 14 และกลุ่ม 32 มีจุดจับที่ตัวรับช่องผ่านศักย์ไฟฟ้านิโคตินิกที่กระตุ้นการทำงานด้วยสารสื่อประสาทอะซีทิลโคลีน (nicotinic acetylcholine receptors: nAChR) โดยสารกลุ่ม 4 ทุกกลุ่มสารเคมี มีจุดจับที่ตัวคุม (modulator) โดยแย่งการจับกับสารสื่อประสาทอะซีทิลโคลีน สารกลุ่ม 5 และ 32 จับที่ตัวคุมชนิด "อัลโลสเตอริก (allosteric modulator)" ที่ตำแหน่ง 1 และ 2 ตามลำดับ (site I and II) ส่วนสารกลุ่ม 14 เข้าไปจับในช่องผ่านทำให้เกิดการขัดขวาง (blockers) การผ่านของไอออนประจุบวก เช่น โซเดียมไอออนประจุสองบวก (Na2+) หรือแคลเซียมไอออนประจุสองบวก (Ca2+)
ความต้านทานต่อสารกำจัดแมลง (Insecticides resistance) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม (ยีน: gene) หรือการกลายพันธุ์ (mutation) ของแมลง ที่ส่งผลให้สารกำจัดแมลงไม่สามารถควบคุมหรือกำจัดแมลงได้ ซึ่งการพ่นสารกำจัดแมลงจะเป็นการคัดเลือกแมลงที่มีความสามารถในการต้านทานต่อสารกำจัดแมลง เนื่องจากในจำนวนแมลงที่เข้าทำลายพืชผลจะมีแมลงบางตัวที่มีพันธุกรรมต้านทานสารกำจัดแมลงและเล็ดลอดมาได้ การใช้สารกำจัดแมลงกลุ่มเดิมซ้ำไปซ้ำมาจึงเกิดการคัดเลือกแมลงที่ต้านทานหรือส่งเสริมให้เกิดการกลายพันธุ์ต้านทาน แมลงดังกล่าวเมื่อผสมพันธุ์หรือออกลูกออกหลานจะถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมที่ควบคุมการแสดงออกของความต้านทานสารดังกล่าวได้
นอกจากการสร้างความต้านทานต่อสารกำจัดแมลงแล้ว แมลงยังสร้างความทนทานต่อสารกำจัดแมลง (insecticides tolerance) ซึ่งเป็นความสามารถของแมลงในทางสรีระวิทยาที่ทนต่อสารกำจัดแมลงได้มากขึ้น เช่น แมลงอาจมีความสามารถในการสังเคราะห์เอนไซม์ไซโตโครม พี450 (cytochrom P45O enzyme: Cyt. P450) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีคุณสมบัติย่อยสลายสารกำจัดแมลงและขับออกจากร่างกาย ทำให้ความเป็นพิษของสารกำจัดแมลงลดลง
การเพิ่มอัตราการใช้สารกำจัดแมลงกับแมลงที่มีความทนทานจะช่วยกำจัดแมลงได้ดีขึ้น และการหยุดใช้สารบางชนิดที่แมลงมีความทนทานจะทำให้แมลงไม่สามารถถ่ายทอดความสามารถดังกล่าวให้กับรุ่นลูกหลานได้ ความสามารถทนทานกับความต้านทานต่อสารกำจัดแมลง อาจแบ่งความแตกต่างดังกล่าวได้ (อย่างง่าย) คือ หากเพิ่มอัตราขึ้น 1.1 เท่า จนถึง 8-9 เท่าของอัตราใช้ดั้งเดิมและสามารถกำจัดแมลงได้ดี จะถือเป็นความสามารถทนทาน ตัวอย่างเช่น เดิมเมื่อสิบกว่าปีก่อน ฟิโพรนิล 5% อัตราใช้กำจัดเพลี้ยไฟพริก (chili thrips) เท่ากับ 5 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ถ้าปัจจุบันอัตราเพิ่มขึ้น 8 เท่า (5 ซีซี. x 8 เท่า = 40 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร) ยังกำจัดเพลี้ยไฟได้ดี จะถือว่าเพลี้ยไฟมีความสามารถทนทาน แต่หากเพิ่มอัตรามากกว่า 10 เท่าขึ้นไปจากอัตราดั้งเดิมและไม่สามารถควบคุมเพลี้ยไฟได้ แสดงให้เห็นว่าเพลี้ยไฟมีความต้านทานต่อสารกำจัดแมลง (ดื้อยา)
ซึ่งในส่วนของอัตราสารแนะนำดั้งเดิมอาจะต้องตรวจสอบจากข้อมูลเก่าๆ หรือจากผู้มีประการณ์
สุเทพ สหายา.2561.รู้ลึกเรื่อง สารเคมีป้องกันกำจัดแมลง และไรศัตรูพืช.พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ.108 หน้า.
คู่มือผู้ควบคุมการขายวัตถุอันตรายทางการเกษตร.2566.พิมพ์ครั้งที่ 1.สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร.183 หน้า.
เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร.2559.การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชกะหล่ำ เทคนิคการพ่นสารฆ่าแมลงในพืชผักและกลไกการต้านทานสารฆ่าแมลงของแมลงศัตรูผักที่สำคัญ.กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร.จัดทำโดย สมาคมกีฏและสัตววิทยาแห่งประเทศไทย.86 หน้า.
เอกสารวิชาการ.2564.การใช้สารกำจัดแมลงและไรศัตรูพืชเพื่อแก้ไขปัญหาความต้านทานศัตรูพืช.สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชากาเกษตร.146 หน้า.
IRAC.2019.Insecticide Mode of Action Training slide deck IRAC MoA Workgroup Version 1.0, April 2019.
(https://irac-online.org)
IRAC.2024.MODE OF ACTION CLASSIFICATION SCHEME VERSION 11.1, JANUARY 2024.
(https://irac-online.org)
Mardubai by James Thirasak
มือถือ. 082-353-5156
อีเมล. thirasak.chuchoet@gmail.com
ร้านหัวถนนการเกษตร-289
เลขที่ 52/4 ถ.นครศรีฯ-ปากพนัง ต.ในเมือง
อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
80000