เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน (Durian leafhopper)
ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ: เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยกระโดด เพลี้ยน้ำมัน
ชื่อวิทยาศาสตร์: Amrasca durianae Hongsaprug
วงศ์: ซิคาเดลลิดี้ (Family: Cicadellidae), อันดับ: เฮมิพเทอร่า (Order: Hemiptera)
ต้นทุเรียนที่มีกิ่งก้านบริเวณยอดหรือปลายยอดแห้งตาย มีลักษณะคล้ายก้านธูปหรือก้านไม้กวาด สาเหตุอาจเกิดได้จากหลายประการ อาทิ เกิดจากโรคกิ่งแห้งตาย (Fusarium die-back disease) อาการขาดธาตุแคลเซียมและโบรอนในช่วงอุณหภูมิสูง ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ หรือต้นทรุดโทรมหลังการเก็บเกี่ยว แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงสาเหตุที่มาจาก "เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน"
อาการยอดแห้งตายคล้ายยอดไม้กวาดในทุเรียน ที่มีสาเหตุจากเพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน (Durian leafhopper) บางพื้นที่เรียกเพลี้ยชนิดนี้ ว่า "เพลี้ยกระโดด" ที่ได้ชื่อนี้อาจเป็นเพราะชาวสวนสังเกตุพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของเพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน ที่มีลักษณะคล้ายการกระโดดไปด้านข้างเหมือนการเดินของ "ปู"
เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียนเป็นแมลงศัตรูพืชที่อยู่ในอันดับ "เฮมิพเทอร่า" และอยู่ในวงศ์เดียวกันกับเพลี้ยจักจั่นฝ้าย เพลี้ยจักจั่นชาสีเขียว เพลี้ยจักจั่นฝอยมะม่วง เพลี้ยจักจั่นช่อมะม่วง (เพลี้ยจักจั่นมะม่วง) เพลี้ยจักจั่นสีเขียวในข้าว เพลี้ยจักจั่นปีกลายหยักในข้าว เพลี้ยจักจั่นแดงในอ้อย และมีความใกล้ชิดทางชีววิทยากับเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และเพลี้ยกระโดดหลังขาว ที่อยู่ในวงศ์เดลฟาซิดี้ (Family: Delphacidae) ดังนั้น แม้ในเชิงวิชาการจะยังขาดข้อมูลการศึกษาด้านชีววิทยาของเพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียนค่อนข้างมากแต่ก็พอจะอ้างอิงกับเพลี้ยจักจั่นชนิดอื่นได้
เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน (Durian leafhopper) เป็นศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายในระดับเศรษฐกิจ มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษตามพืชที่พบหลัก คือ "ทุเรียน (Durian)" (ปัจจุบัน เพลี้ยชนิดนี้ยังไม่พบการเข้าทำลายในพืชอื่น) และชื่อตัวตามลักษณะการทำลาย คือ
"leafhopper (ลีฟฮอพเพอร์)" ชื่อ leafhopper มาจากคำว่า
"leaf" หมายถึง
"ใบ" เป็นส่วนที่ถูกเข้าทำลายหลัก กับคำว่า
"hopper"
หมายถึง
"ผู้กระโดด" ซึ่งเรียกตามลักษณะการเคลื่อนที่ของแมลงในวงศ์นี้หรือวงศ์ใกล้เคียง โดยมีลักษณะการเคลื่อนไหวแบบกระโดดเฉียงไปด้านข้างของลำตัวคล้ายปู นอกจากนี้ยังมีคำที่ใช้เรียกลักษณะอาการของใบพืชที่ถูกทำลายจากเพลี้ยเหล่านี้ ที่มีลักษณะไหม้คล้ายถูกน้ำร้อนลวก ว่า
"hopper burn (ฮอพเพอร์เบิร์น)"
เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน ไม่ใช่แมลงศัตรูพืชที่พึ่งพบใหม่แต่เป็นศัตรูพืชที่พบมานานทุเรียน ในระยะ 5-6 ปีหลังมานี้เอง ที่พบว่า สร้างความเสียหายกับใบอ่อนทุเรียนมากขึ้น และมีรุนแรงมากกว่าเพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน อีกทั้งเพลี้ยชนิดนี้ยังสร้างความทนทานต่ออัตราสารกำจัดแมลงมากขึ้น (Tolerance) ความต้านทานต่อสารกำจัดแมลงมากขึ้น (Resistance) และพบว่ามีสารกำจัดแมลงหลายชนิดที่มีผลต่อการระบาดเพิ่มขึ้น (Resurgence)
รูปร่างลักษณะทั่วไปคล้ายคลึงกับเพลี้ยจั๊กจั่นฝอยมะม่วง เพลี้ยจักจั่นฝ้าย และเพลี้ยจักจั่นชาสีเขียว การจำแนกเพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน โดยส่วนหัว (pronotum และ scutellum) เป็นสีน้ำตาลอ่อนอมเขียว บริเวณใกล้ขอบหน้าผากมีจุดดำ 2 จุด (ปลายส่วนหัว) และมีเส้นสีขาวเป็นรูปเครื่องหมายบวก (+) พาดยาวตรงกลาง scutellum และมีจุดสีน้ำตาลเรียงเป็นระยะ ปีกใสสีเขียวอ่อน กลางปีกค่อนไปทางด้านปลายมีจุดสีดำ 4 จุด เรียงพาดขวาง
เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียนทั้งตัวเต็มวัยและตัวอ่อนดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อนและใบเพสลาดของทุเรียนโดยไม่ทำลายใบแก่ การดูดกินน้ำเลี้ยงของเพลี้ยจักจั่นแต่ละชนิดส่วนมากจะทำให้อาการใบไหม้ เพลี้ยจักจั่นทุกชนิดมีปากแบบเจาะดูด (piercing sucking type) การดูดกินน้ำเลี้ยงโดยการเจาะดูด ซึ่งไม่ทำให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อใบพืชเสียหายมากนัก แต่ความเสียหายเกิดจากการใช้เอนไซม์ที่เป็นพิษในน้ำลายย่อยผนังเซลล์พืชทำให้ผนังเซลล์บางลงและแตก หลังจากนั้นของเหลวหรือน้ำเลี้ยงภายในเซลล์จะซึมออกมา อาการผนังเซลล์แตกนี้ทำให้เกิดอาการไหม้ "hopper burn" โดยปกติเพลี้ยจักจั่นฝอยมักดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณขอบใบมากกว่าเนื้อใบ อาการใบไหม้ระยะแรกมีลักษณะคล้ายถูกน้ำร้อนลวก ต่อมาเมื่อแผลไหม้เริ่มแห้งจะทำให้ขอบใบม้วนงอ หากถูกทำลายรุนแรงใบอ่อนจะร่วงหล่น การระบาดของเพลี้ยต่อเนื่องจะทำให้ใบอ่อนเกิดอาการไหม้รุนแรงทั้งต้นและใบร่วงเหลือแต่ก้าน ชาวสวนเรียกอาการทีเหลือแต่ก้านนี้ว่า "ยอดก้านธูป"
ยังไม่พบรายงานวงจรชีวิตของเพลี้ยจั๊กจั่นฝอยทุเรียน ดังนั้น จึงอ้างอิงวงจรชีวิตของ "เพลี้ยจั๊กจั่นฝ้าย" วงจรชีวิตมีดังนี้
1. ตัวเต็มวัยหรือตัวแก่ (adults): มีอายุเฉลี่ยราว 21-28 วัน แต่สามารถมีอายุได้นานถึง 53 วัน โดยเพศเมียมีอายุยืนยาวกว่าเพศผู้ ปกติเพศเมียมีสัดส่วนมากกว่าเพศผู้ 1.3 ต่อ 1 ตัว
2. ไข่ (eggs): ตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่เป็นฟองเดี่ยวในเนื้อเยื่อพืชตามเส้นใบ หรือบางครั้งวางไข่ที่ก้านใบอ่อนๆ เพศเมีย 1 ตัว วางไข่เฉลี่ย 15 ฟอง ไข่ใช้เวลา 4-7 วัน จึงฟักออกมาเป็นตัวอ่อน
3. ตัวอ่อน (nymphs): ตัวอ่อนเพลี้ยจักจั่นฝอยไม่มีปีก เมื่อแรกฟักจะมีระยางค์ที่ต่อมาพัฒนาเป็นปีกคล้ายลูกไก่ที่พึ่งฟัก ตัวอ่อนมีการเจริญเติบโต 5 วัย โดยการลอกคราบ (คล้ายปูนิ่มที่ลอกคราบเพื่อขยายขนาดตัว) เมื่อลอกคราบแต่ละครั้งลำตัวจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ตัวอ่อนมีน้ำลายที่เป็นพิษเช่นเดียวกับตัวเต็มวัยและมีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ฟักออกจากไข่จนเป็นตัวเต็มวัยราวๆ 7-21 วัน ขึ้นอยู่กับแหล่งอาหารและสภาพอากาศ
พบการแพร่ระบาดเป็นประจำเกือบทุกพื้นที่การเพาะปลูกทุเรียนโดยเฉพาะในฤดูแล้งหรือฝนทิ้งช่วง เช่น ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตกและภาคกลาง ส่วนภาคเหนือและภาคเหนือตอนล่างพบการระบาดเป็นครั้งคราว
1. เมื่อพบการเข้าทำลายของเพลี้ย ควรพ่นสารกำจัดศัตรูพืชต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ครั้ง ทุก 5-7 วัน เช่น สารกำจัดแมลง กลุ่ม 29 ได้แก่ ฟลอนิคามิด 50% อัตรา 50-100 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือ กลุ่ม 9 ได้แก่ ไพมีโทรซีน 50% (ชื่อการค้า เช่น ไพแม็ก, แพ็คโทรซีน) อัตรา 200 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร ผสมร่วมกับสารกำจัดแมลง กลุ่ม 3A ได้แก่ ไบเฟนทริน 10% อัตรา 250-300 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร, อีโทเฟนพรอกซ์ 20% อัตรา 300-400 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือกลุ่ม 13 ได้แก่ คลอฟีนาเพอร์ 10%, 24% หรือ 40% อัตรา 400-600, 200-300, 100-150 ซีซี. (ตามลำดับ) ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือกลุ่ม 1A เช่น ฟิโนบูคาร์บ 50% อัตรา 350-400 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือกลุ่ม 1B ได้แก่ ไดอะซินอน 60%, โปรฟีโนฟอส 50% (ชื่อการค้า เช่น พีโปร), ไดเมโทเอท 50% หรือเฟนโทเอท 50% (ชื่อการค้า เช่น พีเอท50) อัตรา 350-400 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร
*สารกำจัดแมลง กลุ่ม 3A ใช้ได้เฉพาะไบเฟนทริน เพอร์เมทิลและอีโทเฟนฟร็อก เท่านั้น เนื่องจากไม่มีไซยาไนด์เป็นองค์ประกอบในโครงสร้างทางเคมี
**กรณี พบการระบาดรุนแรงอาจผสมสารกำจัดแมลงดังกล่าวร่วมกับ สารกำจัดแมลง กลุ่ม 16 ได้แก่ บูโพรเฟซีน 40% (ชื่อการค้า เช่น แพ็คบูซิน) อัตรา 300-400 ซีซี.ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือ กลุ่ม 7C ไฟริพรอกซิเฟน 10% (ชื่อการค้า เช่น แพ็คซีเฟน) อัตรา 300-350 ซีซี.ต่อน้ำ 200 ลิตร
***การผสม ไวท์ออยล์ หรือพาราฟินออยล์ ทดแทนสารจับใบจะช่วยให้กำจัดเพลี้ยได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างชื่อการค้า เช่น
เอนโดซ่า อัตรา 400-500 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือ
เรดฮ็อท อัตรา 200-250 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร
2. การป้องกันก่อนพบการเข้าทำลายในระยะใบเริ่มแตกใบอ่อน ควรพ่นป้องกันโดยใช้สารกำจัดแมลง ดังนี้
สารกำจัดแมลง กลุ่ม 4A ได้แก่ ไดโนทีฟูแรน 20%, ไทอะมีโทแซม 25%, อิมิดาโคลพริด 70%, อะซีทามิพริด 20% หรือ โคลไทอะนิดีน 16% อัตรา 150-200 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือไทอะโคลพริด 24%SC อัตรา 200 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือ
กลุ่ม 4C ได้แก่ ซันฟ็อกซาโฟล 50% อัตรา 150-200 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือ
กลุ่ม 4D ได้แก่ ฟลูไพราดิฟูโรน 20% อัตรา 150-250 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร
*เลือกใช้สารตัวใดตัวหนึ่ง
ขยัน สุวรรณ.ไม่ระบุปีที่พิมพ์.แมลงและไรศัตรูพืชทางเศรษฐกิจของประเทศไทย.ภาควิชาอารักขาพืช คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้เชียงใหม่.494 หน้า.
ธวัช ปฏิรูปานุสร และเพชรหทัย ปฏิรูปานุสร.2552.ศัตรูข้าวและศัตรูธรรมชาติในภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน.ศูนย์วิจัยข้าวพิษณุโลก สำนักวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว.304 หน้า.
สุเทพ สหายา.2561.รู้ลึกเรื่อง สารเคมีป้องกันกำจัดแมลง และไรศัตรูพืช.พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ.108 หน้า.
คู่มือผู้ควบคุมการขายวัตถุอันตรายทางการเกษตร.2566.พิมพ์ครั้งที่ 1.สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร.183 หน้า.
เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร.2559.การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชกะหล่ำ เทคนิคการพ่นสารฆ่าแมลงในพืชผักและกลไกการต้านทานสารฆ่าแมลงของแมลงศัตรูผักที่สำคัญ.กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร.จัดทำโดย สมาคมกีฏและสัตววิทยาแห่งประเทศไทย.86 หน้า.
เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร.2559.การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูไม้ผล และเทคนิคการพ่นสารที่เหมาะสม (รุ่นที่ 1).สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร.จัดทำโดย สมาคมกีฏและสัตววิทยาแห่งประเทศไทย.162 หน้า.
เอกสารวิชาการ.2564.การใช้สารกำจัดแมลงและไรศัตรูพืชเพื่อแก้ไขปัญหาความต้านทานศัตรูพืช.สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชากาเกษตร.146 หน้า.
IRAC.2019.Insecticide Mode of Action Training slide deck IRAC MoA Workgroup Version 1.0, April 2019.
(https://irac-online.org)
IRAC.2024.MODE OF ACTION CLASSIFICATION SCHEME VERSION 11.1, JANUARY 2024.
(https://irac-online.org)
Mardubai by James Thirasak
มือถือ. 082-353-5156
อีเมล. thirasak.chuchoet@gmail.com
ร้านหัวถนนการเกษตร-289
เลขที่ 52/4 ถ.นครศรีฯ-ปากพนัง ต.ในเมือง
อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
80000