เพลี้ยไฟ มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษ คือ thrips ซึ่งเป็นทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ จึงต้องเขียน thrip เติมตัวs เพลี้ยไฟเป็นแมลงที่อยู่ในอันดับไทซานอฟเทอร่า (Order: Thysanoptera) ตามการจำแนกลำดับอนุกรมวิธานสิ่งมีชีวิต ชื่ออันดับนี้มาจากลักษณะของปีก คือ ลักษณะเป็นก้านยาวและมีขนละเอียดขึ้นเรียงรายที่ขอบทั้งสองข้างในระยะตัวเต็มวัย (ตัวแก่) มักมีปีก 2 คู่ (บางชนิดไม่มีปีก) ลักษณะที่สำคัญอีกประการ คือเพลี้ยไฟมีกราม (mandible) ข้างซ้ายเพียงข้างเดียว ส่วนกรามข้างขวาหายไปเมื่อลอกคราบจากตัวอ่อนวัยที่ 1 เป็นตัวอ่อนวัยที่ 2
การเจริญเติบโตของเพลี้ยไฟเป็นแบบกึ่งกลางระหว่างแบบเปลี่ยนแปลงรูปร่างทีละน้อย (gradual metamorphosis) กับแบบสมบูรณ์ (complete metamorphosis) คือตัวอ่อนและตัวเต็มวัยมีรูปร่างคล้ายกัน เพลี้ยไฟหลายชนิดสามารถสืบพันธุ์แบบไม่ต้องมีการผสมพันธุ์ (parthenogenesis) ได้ เมื่อโตเต็มที่มีความกว้างของลำตัวราว 0.2-0.3 มิลลิเมตรหรือน้อยกว่า ความยาวราว 0.8-2 มิลลิเมตร (ขึ้นอยู่กับชนิดของเพลี้ย) ซึ่งเทียบได้เท่ากับขนาดของไส้ดินสอกด เพลี้ยไฟมีปากแบบเขี่ย-ดูด (rasping-sucking type) โดยทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยใช้ปากเขี่ยใบอ่อน ดอก ผลอ่อนและตุ่มตาเจริญทำให้เกิดบาดแผลแล้วจึงดูดกินน้ำเลี้ยงที่ซึมไหลออกมา เพลี้ยไฟมักบินได้ไม่ค่อยเก่งแต่ลมสามรถหอบพาไปได้ไกลหลายกิโลเมตร ทำให้การแพร่ระบาดค่อนข้างรุนแรงและเป็นบริเวณกว้าง
แมลงในอันดับไทซานอฟเทอร่านี้ แบ่งเป็น 2 อันดับย่อย คือ เทเรบรันเทีย (Sub-order: Terebrantia) และทูบูลิเฟอร่า (Sub-order: Tubulifera) โดยแบ่งตามลักษณะของอวัยวะวางไข่ของเพศเมีย
อวัยวะวางไข่มีลักษณะคล้ายฟันเลื่อย (saw-tailed thrips) ยื่นออกมาทางด้านล่างของส่วนปล้องท้อง ปล้องที่ 10 และปลายปล้องท้องนี้มีลักษณะเป็นรูปถ้วย (cone) ปีกคู่หน้ามีเส้นปีกตามยาว ประกอบด้วยวงศ์สำคัญๆ 4 วงศ์ (Family) คือ Aeolothripidae, Merothripidae, Heterothripidae และ Thripidae เพลี้ยไฟที่เป็นศัตรูพืชที่สำคัญเกือบทั้งหมดอยู่ในวงศ์ทรีพิดี้ (Family: Thripidae) มีประมาณ 1,700 ชนิด แบ่งเป็น 6 วงศ์ย่อย วงศ์ย่อยที่สำคัญ คือวงศ์ย่อยแพนชี้โตทริพินี้ (Sub-family: Panchaetothripinae)[1] และทริพินี้ (Sub-family: Thripinae)
เพลี้ยไฟในอันดับย่อยนี้ส่วนใหญ่เป็นเพศเมีย เนื่องจากเพลี้ยไฟเพศเมียพัฒนาจากไข่ที่ไม่ได้รับการผสมพันธุ์ ในขณะที่เพลี้ยไฟเพศผู้พัฒนามาจากไข่ที่ปฏิสนธิ เพศเมียวางไข่โดยใช้ขอบหยักของอวัยวะที่วางไข่ตัดหรือทำให้เกิดรูเล็กๆ บนใบอ่อน ดอกหรือกลีบดอก และวางไข่ในรูนั้น
เพศเมียจะไม่ปรากฏอวัยวะวางไข่ออกมาภายนอกให้เห็น ปล้องท้องปล้องที่ 10 มีลักษณะเป็นท่อยาว (tube) ปีกคู่หน้าไม่มีเส้นปีก มีวงศ์ที่สำคัญ คือ วงศ์พลีโอทริพิดี้ (Family: Phlaeothripidae) ชนิดของเพลี้ยไฟในวงศ์นี้ที่พบบ่อย คือ เพลี้ยไฟมะเดื่อและเพลี้ยไฟไทรคิวบา (Gynaikothrips spp.)
เพลี้ยไฟในอันดับย่อยทูบูลิเฟอราส่วนใหญ่เป็นแมลงตัวห้ำที่กินเชื้อราหรือแมลงอื่นๆ โดยมีเพียงไม่กี่ชนิดที่เป็นศัตรูพืช เพลี้ยไฟเหล่านี้มีขนาดใหญ่กว่าเพลี้ยไฟในอันดับย่อยเทเรบรันเทียโดยมีความยาว 2.5 ถึง 3.0 มิลลิเมตร
[1]เพลี้ยไฟในวงศ์ย่อยแพนชี้โตทริพินี้ มักมีลำตัวสีดำ หรือสีน้ำตาลเข้ม และมีลวดลายบนด้านหลังของลำตัวแบบตาข่ายหรือร่างแห
เพลี้ยไฟที่พบในประเทศไทยมีมากกว่า 100 ชนิด แต่มีเพลี้ยไฟราว 40 ชนิดเท่านั้นที่ได้รับการจำแนกและตั้งชื่อสามัญแล้ว ดังนี้
เพลี้ยไฟแต่ละชนิดมีพืชอาหารได้มากกว่า 50 ชนิด ดังนั้น จึงพบการเข้าทำลายของเพลี้ยไฟในเกือบทุกพืช ทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ธัญพืช พืชผัก พืชไร่ และไม้ผล
เพลี้ยไฟเป็นแมลงที่มีทั้งประโยชน์และโทษเช่นเดียวกับแมลงอีกหลายชนิด เพลี้ยไฟหลายชนิดเป็นตัวห้ำเพลี้ยไฟด้วยกันเองและเป็นตัวห้ำในไรศัตรูพืชบางชนิด เช่น เพลี้ยไฟ Aeolothrips sp. และ Scolothrips sp.
เพลี้ยไฟที่เป็นศัตรูพืชทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยกรามปากไม่ค่อยสู่จะแข็งแรงมากนัก ลักษณะการทำลายจึงเป็นแบบเขี่ย-ดูด (rasping-sucking type) ส่วนของพืชที่ถูกทำลายจึงเป็นส่วนอ่อนหรือเนื้อเยื่อเจริญของพืช เช่น ใบอ่อน ดอก ผลอ่อน ตาใบและตาดอก ทำให้ใบเกิดรอยแผลคล้ายรอยขีดข่วนขนาดเล็กมาก สีซีดและด่าง หรือทำให้ขอบใบแห้ง ตาอ่อนชะงักการเจริญเติบโต เมื่อใบหรือผลแก่ขึ้นจะเป็นรอยกร้านสีน้ำตาลหรือรอยทางเป็นเส้นตาข่ายคล้ายขี้กลาก พืชแคระแกร็นชะงักการเจริญเติบโต หากเพลี้ยไฟเข้าทำลายดอก ช่อดอก จะทำให้ดอกเหี่ยวแห้งและหลุดร่วงได้ง่าย
กรณี ที่พบแผลในใบแก่หรือผลแก่ เป็นผลมาจากการเข้าทำลายในระยะใบอ่อน ดอกหรือผลอ่อน ดังนั้น การพ่นสารกำจัดเพลี้ยไฟในระยะใบแก่-ผลแก่ จึงไม่ช่วยอะไร
ใบอ่อนของพืชที่ถูกทำลายจะมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะสรีระของใบพืชชนิดนั้นๆ ซึ่งพอจะแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ
ใบอ่อนมักจะบิดม้วนงอหงายขึ้น เนื่องจากเนื้อเยื้อใกล้เส้นใบจะถูกทำให้ฉีกขาด (แผลเล็กมากสังเกตุยาก) ส่วนมากมักเห็นเป็นรอยแผลเป็นเส้นๆ คดไปมา สีขาวหรือขาวอมเทา สำหรับบางพืช เช่น มะเขือเทศ หรือสตรอเบอร์รี่ สีของแผลอาจเป็นสีแดงอมม่วง หรือสีม่วงแดง ตามลำดับ
ใบอ่อนที่ถูกทำลายใหม่ๆ จะยังไม่ปรากฏอาการไหม้ให้เห็น แต่ใบจะม้วนงอ บิดผิดรูปทรง ส่วนใหญ่จะม้วนงอหงายหน้าใบ ต่อมาเมื่อแผลฉีกขาดเริ่มแห้งซึ่งเกิดจากเพลี้ยไฟใช้ปากเขี่ยเนื้อเยื้อบริเวณข้างๆ เส้นใบ หรือเส้นใบ จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลอมแดง บางพืชที่ถูกเข้าทำลายรุนแรงใบอ่อนจะหลุดร่วง แต่หากไม่หลุดร่วงจะเกิดอาการใบไหม้รุนแรง ใบหยุดขยายขนาด ใบจะขนาดเล็กผิดปกติ
เพลี้ยไฟมักจะเริ่มเข้าทำลายเมื่อดอกเริ่มบาน ในพืชที่ออกดอกเป็นช่อจะเริ่มพบการทำลายเมื่อดอกแรกๆ เริ่มบาน ต่อจากนั้นเพลี้ยไฟจะเข้าทำลายดอกที่ยังตูมตามไปด้วย
สำหรับดอกทุเรียน เพลี้ยไฟจะเข้าทำลายดอกที่เริ่มปลิขาวหรือระยะดอกหอมเป็นต้นไป
การทำลายจะทำให้ดอกแห้ง หรือมีอาการแห้งไหม้ ดอกหลุดร่วงได้ง่าย
การทำลายที่ผล
เพลี้ยไฟจะเข้าทำลายต่อเนื่องหลังดอกบาน หรือเมื่อเริ่มติดผลใหม่ๆ เมื่อผลพัฒนาจนเปลือกแข็งแรงขึ้นเพลี้ยไฟจะย้ายไปหาผลที่อ่อนกว่า
สำหรับผลที่มีผิวเรียบ หรือมันวาว จะพบรอยแผลเป็นร่างแหตาข่ายสานทับกันไปมา ในส้มจะเป็นเส้นสีขาว ส่วนในมะเขือเปาะและมะม่วงจะเป็นเส้นสีน้ำตาลแดง สำหรับมะม่วงอาจพบโรคสเคปเข้าทำลายซ้ำ ทำให้เป็นแผลตกสะเก็ด
การเข้าทำลายผลอ่อนทุเรียน จะทำให้ปลายหนามฉ่ำ มีสีแดงอมน้ำตาล ต่อมาเมื่อหนามขยายขนาดปลายหนามจะฉีกแตกออกจากกันเกิดเป็นอาการหนามจีบ ส่วนใหญ่เพลี้ยไฟจะเข้าทำลายบริเวณใกล้ขั้วผลมากกว่าส่วนอื่นๆ บางครั้งจะพบว่าร่องระหว่างหนามถูกทำลายด้วยเช่นกัน จนทำให้ร่องหนามเป็นแผลมีสีดำหรือสีแดงอมน้ำตาลเข้ม
นอกจากความเสียหายดังกล่าวแล้วเพลี้ยไฟยังขับถ่ายของเสียออกมา ซึ่งมีลักษณะคล้ายหยดน้ำเล็กๆ ติดอยู่ตามส่วนต่างๆ ของพืช ของเสียเหล่านี้เมื่อแห้งจะทำให้เกิดรอยตำหนิเป็นจุดดำ ทำให้ผลผลิตไม่น่ารับประทาน จำหน่ายไม่ได้ราคา
เพลี้ยไฟบางชนิดสามารถเป็นพาหะถ่ายทอดเชื้อโรคไวรัสไปสู่พืชได้ เช่น เพลี้ยไฟหอม Thrips tabaci, เพลี้ยไฟมะเขือเทศ Frankliniella schullzei, เพลี้ยไฟยาสูบ Frankliniella fusca, เพลี้ยไฟดอกไม้ตะวันตก Frankliniella occidentalis (เป็นพาหะที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด) และเพลี้ยไฟพริก Scirtothrips dorsalis เพลี้ยเหล่านี้มีรายงานเป็นพาหะนำโรคไวรัสใบเหี่ยว-ลายมะเขือเทศ Tomato Spotted Wilt Virus (TSWV), โรคไวรัสใบด่างเหลืองถั่ว Peanut Yellow Spot (YSV) และโรคไวรัส Tomato Streak Virus (TSV) และโรคเชื้อไวรัส necrotic spot virus สำหรับโรคไวรัส Melon Yellow Spot Virus (MYSV) ที่สร้างความเสียหายในพืชตระกูลแตง เช่น แตงกวา แตงโม มะระ ฟักทอง เมล่อน และแคนตาลูป มีเพลี้ยไฟฝ้ายหรือเพลี้ยไฟเมล่อน Thrips palmi เป็นพาหะ
การเป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสของเพลี้ยไฟนั้นสัมพันธ์กับช่วงวงจรชีวิตของเพลี้ยไฟ กล่าวคือ การเป็นพาหะถ่ายทอดเชื้อไวรัสเป็นแบบข้ามระยะการเจริญเติบโต (transtadial transmission) เพลี้ยไฟที่จะติดเชื้อไวรัสจะเกิดขึ้นกับตัวอ่อนวัย 1 ของเพลี้ยไฟ โดยตัวเต็มวัยไม่สามารถติดเชื้อเองโดยตรง เมื่อตัวอ่อนดูดกินน้ำเลี้ยงและได้รับเชื้อไวรัสจากพืชต้นที่ติดโรคแล้ว เชื้อไวรัสจะมีชีวิตอาศัยอยู่ภายในตัวอ่อนเพลี้ยไฟจนกระทั่งตัวอ่อนเจริญพัฒนากลายเป็นตัวเต็มวัยแล้วจึงสามารถถ่ายทอดเชื้อไวรัสให้กับพืชต้นอื่นๆ ผ่านทางน้ำลายโดยการบินไปยังพืชต้นอื่นและมีลักษณะเป็นพาหะถ่ายทอดเชื้อไวรัสแบบพาหะเชื้อไวรัสถาวร (persistent)
พืชที่ติดเชื้อไวรัสอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของเพลี้ยไฟด้วย โดยพืชที่ติดเชื้อไวรัสจะดึงดูดเพลี้ยไฟได้ดีกว่าต้นปกติและเพลี้ยไฟที่ติดเชื้อมักจะกินอาหารมากกว่าเพลี้ยไฟที่ไม่ติดเชื้อ
เพลี้ยไฟทุกชนิดมีวงจรชีวิตเหมือนกัน การเจริญพัฒนาของแต่ละช่วงชีวิตเป็นแบบเปลี่ยนแปลงรูปร่างทีละน้อย (gradual metamorphosis) กับแบบสมบูรณ์ (complete metamorphosis) โดยตัวอ่อนและตัวเต็มวัยมีรูปร่างคล้ายกัน เพลี้ยไฟเป็นแมลงที่มีวงจรชีวิตค่อนข้างสั้น ประกอบไปด้วย 4 ระยะ คือ ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้และตัวเต็มวัย
ตัวเต็มวัย (adults)
ตัวเต็มวัย หรือบางครั้งเรียกว่า ตัวแก่ หรือวัยเจริญพันธุ์ เพลี้ยไฟมีหลากหลายชนิดมาก บางชนิดมีลำตัวสีแดง สีส้ม สีเหลืองอ่อน สีเหลือง สีน้ำตาล สีดำ และ 2 สี คือ ลำตัวส่วนหัวถึงส่วนอกมีสีเหลืองส่วนช่วงท้องสีดำ เป็นช่วงวัยที่มีอายุมากกว่าวัยระยะอื่นๆ อาจมีอายุตั้งแต่ 10 กว่าวัน เรื่อยไปจนถึง 60 วัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของเพลี้ยไฟ ในวัยนี้จะมีปีกและบินได้ไกลโดยอาศัยแรงลม บางชนิดเห็นปีกชัดเจน บางชนิดอาจสังเกตุเห็นปีกได้ยาก บางชนิดไม่มีปีก
วัยนี้มีการผสมพันธุ์เพื่อวางไข่ บางชนิดสามารถสืบพันธุ์ได้โดยไม่ต้องผสมพันธุ์ เพลี้ยไฟในอันดับย่อยเทเรบรันเทีย เพศเมียวางไข่ครั้งละ 1 ฟอง โดยการใช้อวัยวะวางไข่เซาะร่องใต้ผิวใบแล้วสอดไข่ไว้ใต้เนื้อเยื่อของพืช ส่วนอันดับย่อยทูบูลิเฟอรา เพศเมียวางไข่ครั้งละหลายฟอง บนผิวหน้าของพืช
เพลี้ยไฟตัวเต็มวัยเพศเมียแต่ละชนิดสามารถวางไข่ได้มากกว่า 30 จนถึง 60 ฟองต่อตัว บางชนิดสามารถวางไข่ได้ถึง 100 ฟองต่อตัว
ไข่ (eggs)
ไข่มีขนาดเล็ก ลักษณะคล้ายเมล็ดถั่ว มีสีขาวใสจนถึงสีเหลือง โดยส่วนมากไข่มีขนาดใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนท้องของเพศเมีย มีความกว้างประมาณ 0.10 มิลลิเมตร ยาว 0.25 มิลลิเมตร ส่วนใหญ่มักวางไข่บริเวณใกล้เส้นกลางใบ หรือใกล้เส้นแขนงใบ และกลีบดอก
อายุไข่ของเพลี้ยไฟที่เป็นศัตรูพืชที่สำคัญ เช่น เพลี้ยไฟพริก เพลี้ยไฟดอกไม้ตะวันตก เพลี้ยไฟดอกไม้ฮาวาย เพลี้ยไฟเมล่อน เพลี้ยไฟหอม เพลี้ยไฟมะเขือเทศ มักมีอายุไข่โดยเฉลี่ยราว 1-3 วัน จึงฟักออกมาเป็นตัวอ่อน ไข่เพลี้ยไฟบางชนิดหรือบางฤดูอาจมีอายุ 6-7 วัน
ตัวอ่อน (instar หรือ nymphs)
ตัวอ่อนระยะนี้ไม่มีปีก ลำตัวมีสีขาวใส สีเหลืองอ่อน สีเหลือง สีส้ม สีแสดหรือสีแดง ขึ้นอยู่กับชนิดของเพลี้ยไฟ บางชนิดชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีความต้องการสารอาหารมากจึงดูดน้ำเลี้ยงจากพืชตลอดเวลาและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงมักพบพฤติกรรมเป็นตัวห้ำในวัยนี้ด้วย โดยการกินไข่และตัวอ่อนของไรขาว และอาจกินแมลงศัตรูพืชชนิดอื่นด้วย
ตัวอ่อนทำลายพืชเช่นเดียวกับตัวเต็มวัย แบ่งออกเป็น 3 วัย
ตัวอ่อนวัยแรกนี้มักมีสีขาวใส ลำตัวผอมเรียว ขนาดเล็กมาก ขนาดลำตัวยาวเพียง 0.2-0.3 มิลลิเมตร เคลื่อนไหวตลอดเวลาและเริ่มทำลายพืชทันทีเมื่อฟักออกจากไข่ ตัวอ่อนวัยแรกนอกจากจะทำลายพืชแล้ว ยังเป็นศัตรูของไข่และตัวอ่อนตัวเล็กๆ ของไรศัตรูพืชด้วย เช่น ไรขาวพริก ดังนั้น ในช่วงที่มีการระบาดของเพลี้ยไฟจึงมักไม่ค่อยพบการระบาดของไรศัตรูพืช
ตัวอ่อนวัย 1 เมื่อแรกฟักออกจากไข่จะมีกรามปาก 2 ข้างและเป็นช่วงวัยที่จะติดเชื้อไวรัสได้ แม้พืชอาหารติดเชื้อไวรัสทั้งแบบแสดงอาการและแบบไม่แสดงอาการของโรคไวรัส
ตัวอ่อนวัยนี้มีอายุโดยเฉลี่ยราว 1-2 วัน หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของเพลี้ยไฟ
หลังจากตัวอ่อนวัย 1 ลอกคราบจะพัฒนาเป็นตัวอ่อนวัย 2 ลำตัวมีสีเหลืองมากขึ้น มีขนาดลำตัวอวบขึ้นมากกว่าตัวอ่อนวัย 1 โดยเฉลี่ยมีความยาว 0.3-0.4 มิลลิเมตร ในระยะนี้การเคลื่อนไหวจะรวดเร็วและว่องไวมาก แต่ยังไม่มีปีก
หลังลอกคราบเป็นตัวอ่อนวัย 2 กรามปากด้านขวาจะหดสั้นลงจนเหลือเพียงแต่กรามปากฝั่งซ้าย
ตัวอ่อนวัยนี้มีอายุโดยเฉลี่ยราว 2-4 วัน หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของเพลี้ยไฟ
ตัวอ่อนวัย 3 หรือระยะก่อนเข้าดักแด้ (prepupa)
ตัวอ่อนวัย 3 เป็นระยะก่อนเข้าดักแด้ ลำตัวมีสีเข้มขึ้นมากและมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นหลังจากตัวอ่อนวัย 2 ลอกคราบ มีขนาดลำตัวโดยเฉลี่ยราว 0.5-0.7 มิลลิเมตร มีการพัฒนาระยางที่ต่อไปจะพัฒนาเป็นปีก ตัวอ่อนในวัยนี้ยังคงกินอาหารและทำลายพืชอยู่ แต่การเคลื่อนไหวจะช้าลง
ตัวอ่อนวัยนี้มีอายุโดยเฉลี่ยราว 1-2 วัน หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของเพลี้ยไฟ
เพลี้ยไฟจะเข้าดักแด้ในดินหรือตามเศษซากพืชซากสัตว์บนพื้น ดักแด้ระยะนี้จะมีสีเข้มขึ้นมาก แผ่นปีกทั้งสองเจริญมากขึ้นและยาวเกือบถึงปลายส่วนท้อง ระยะดักแด้จะไม่เคลื่อนไหวและไม่กินอาหาร หากพืชอาหารสมบูรณ์หรือมีพืชอาหารเพียงพอ เพลี้ยไฟจะออกจากดักแด้ได้ภายใน 1-3 วัน แต่หากไม่มีพืชอาหารหรือพืชขาดแคลน เพลี้ยไฟสามารถอยู่ในดินได้นาน ในพื้นที่สภาพภูมิอากาศเย็นในต่างประเทศ เช่น ยุโรป จีน ญี่ปุ่น พบว่าสามารถเข้าดักแด้ได้นานถึง 8-9 เดือน หลังออกจากดักแด้จะเป็นเพลี้ยไฟตัวเต็มวัย เพลี้ยไฟตัวเต็มวัยจะโผล่ออกมาจากดินและหาที่อยู่ใหม่สำหรับเป็นพืชอาหาร สืบพันธุ์และวางไข่ หากเพลี้ยไฟในระยะตัวอ่อนวัย 1 ติดเชื้อไวรัส เพลี้ยไฟตัวเต็มวัยจะเป็นระยะแพร่เชื้อไปสู่พืชต้นอื่นๆ เนื่องจากเป็นวัยที่สามารถเคลื่อนที่ได้ไกลโดยการบิน แม้การบินของเพลี้ยไฟจะไม่เก่งมากนักแต่ลมจะเป็นตัวช่วยให้บินและลอยไปได้ไกลเป็นกิโลเมตร
แม้สภาพภูมิอากาศร้อนจะไม่ส่งเสริมให้ดักแด้ของเพลี้ยไฟเข้าดักแด้เป็นระยะเวลานานเพื่อรอพืชอาหารให้สมบุรณ์ แต่เนื่องจากเพลี้ยไฟมีพืชอาหารกว้างมากและมีวัชพืชหลายชนิดเป็นพืชอาหารรอง ดังนั้้น การแพร่ระบาดของเพลี้ยไฟจึงเกิดขึ้นได้เกือบตลอดปี
โดยทั่วไปเพลี้ยไฟจะมีวงจรชีวิตตลอดชั่วอายุขัยนานได้มากกว่า 1 ถึง 2 เดือน แต่อายุขัยชั่วรุ่นหนึ่งๆ พัฒนาจากระยะไข่จนเป็นตัวเต็มวัยอาจใช้เวลาสั้นมากกว่า 14 วัน บางครั้งอาจใช้ระยะเวลาเพียง 9-10 วัน ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นและแห้งแล้ง โดยพบว่าแมลงศัตรูพืชหลายชนิดมีช่วงพัฒนาดังกล่าวสั้นลงเช่นกัน ในสมัยก่อนมีรายงานว่าเพลี้ยไฟชั่วรุ่นหนึ่งใช้เวลาเจริญพัฒนาราว 19-21 วัน
การแพร่ระบาดของเพลี้ยไฟพบได้หลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคพื้นตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชีย รวมถึงไต้หวัน ญี่ปุ่น และประเทศไทย ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายทางการเกษตร เพลี้ยไฟสามารถเข้าทำลายพืชได้เกือบตลอดทั้งปี มักพบการระบาดในช่วงฤดูร้อนหรือช่วงที่สภาพอากาศแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วง
การป้องกันและกำจัดเพลี้ยไฟ เร็วๆ นี้..
ขยัน สุวรรณ.ไม่ระบุปีที่พิมพ์.แมลงและไรศัตรูพืชทางเศรษฐกิจของประเทศไทย.ภาควิชาอารักขาพืช คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้เชียงใหม่.494 หน้า.
ศรุต สุทธิอารมณ์ และคณะ.2557.แมลงศัตรูไม้ผล.กลุ่มบริหารศัตรูพืช /กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สำนักวิชาพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร.โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การแเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.151 หน้า.
สมศักดิ์ ศิริผลตั้งมั่น และคณะ.2554.เอกสารวิชาการ แมลงศัตรูพืช เห็ด และไม้ดอก.กลุ่มบริหารศัตรูพืช /กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สำนักวิชาพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร.พิมพ์ ครั้งที่ 1.73 หน้า.
อรพรรณ วิเศษสังข์ และจุมพล สาระนาค.2558.โรคพืชผักและการป้องกันกำจัด.พิมพ์ครั้งที่ 1.กรุงเทพฯ : บริษัทสยามคัลเลอร์พริน จำกัด.164 หน้า.
เอกภพ บุญทอง, อรัญ งามผ่องใส และ กราญ์จนา ถาอินชุม.การเปลี่ยนแปลงประชากรเพลี้ยไฟเมล่อน Thrips palmi Karny (Thysanoptera: Thripidae) และการเกิดโรคไวรัสในเมล่อน 2 สายพันธุ์ที่ปลูกภายใต้สภาพโรงเรือน Population fluctuation of melon thrips, Thrips palmi Karny (Thysanoptera: Thripidae) and viral disease activity in 2 melon varieties under greenhouse condition.แก่นเกษตร 49 ฉบับที่ 2: 381-390 (2564)./doi:10.14456/kaj.2021.33.
อิทธิพล บรรณาการ ศิริณี พูนไชยศรี สิทธิศิโรดม แก้วสวัสดิ์.อนุกรมวิธานเพลี้ยไฟวงศ์ย่อย Panchaetothripinae Taxonomy of Thrips in Subfamily Panchaetothripinae.รายงานผลงานวิจัยประจำปี ๒๕๕๕ สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร.หน้า 2148-2165.
เอกสารวิชาการ แมลง-ไร ศัตรูทุเรียน -- กรุงเทพฯ : สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2562
David Held and Jeremy Martin Pickens.Thrips: Pests of Ornamental Plants.The Alabama Cooperative Extension System (Alabama A&M University and Auburn University).www.aces.edu.19 November 2018.
<https://www.researchgate.net/publication/329044465>
Marilyn Steiner.Which thrips is that? A guide to the key species transmitting Tomato Spotted Wilt Virus in NSW.NSW Department of Primary Industries.
<www.agric.nsw.gov.au/reader/hort.>
Mardubai by James Thirasak
มือถือ. 082-353-5156
อีเมล. thirasak.chuchoet@gmail.com
ร้านหัวถนนการเกษตร-289
เลขที่ 52/4 ถ.นครศรีฯ-ปากพนัง ต.ในเมือง
อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
80000