ATP สารให้พลังงานขับเคลื่อนพืช-เพิ่มผลผลิต
"เอทีพี (ATP)" สารให้ให้พลังงานขับเคลื่อนพืช-เพิ่มผลผลิต
Sorbitol sugar กุญแจสำคัญสู่พลังงาน ATP เพื่อการพัฒนาดอกและผลทุเรียนที่สมบูรณ์และลดการหลุดร่วง
ATP กุญแจสำคัญสู่ผลผลิตคุณภาพ
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด โดยเฉพาะทุเรียน “ราชาแห่งผลไม้” การได้มาซึ่งผลทุเรียนที่มีคุณภาพนั้น ต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่อย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการเรื่องของพลังงานที่จำเป็นต่อการเจริญพัฒนาของดอกและผล แม้ในธรรมชาติทุเรียนสามารถสังเคราะห์สารตั้งต้นในการสร้างพลังงาน ATP ได้เอง แต่ในสภาวะอากาศที่แปรปรวนผันแปรตลอดเวลา กิจกรรมการสร้างสารตั้งต้นของพลังงาน ATP อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หรือมีไม่เพียงพอและส่งผลต่อการผลิตทุเรียนคุณภาพและการเพิ่มผลผลิต

ภาพ: โครงสร้างทางเคมีของสาร ATP (Adenosine Triphosphate)

ภาพ: การให้พลังงานของ ATP โดยมีน้ำเป็นตัวช่วยปลดปล่อยพลังงานออกมา 7.3 กิโลแคลอรี่ (-7.3 kcal/mol) ทำให้ได้สารใหม่คือ ADP และการเติมหมู่ฟอสเฟต (Pi) กับโปรตอน (H⁺) เพื่อสร้าง ATP ขึ้นใหม่

ภาพ: อวัยวะระดับเซลล์ที่ใช้สร้างพลังงาน ATP ของพืช (ขวาบน) อวัยวะคลอโรพลาสต์ สร้าง ATP ขึ้นมาเพื่อใช้เกี่ยวกับการสังเคราะห์แสงให้ได้น้ำตาล, (ขวาล่าง) อวัยวะไมโตคอนเดรีย มีบทบาทสลายน้ำตาลให้ได้พลังงาน ATP ผ่านกระบวนการหายใจ เพื่อใช้ดำรงชีวิตและเจริญพัฒนา ตลอดจนให้ผลผลิต

ภาพ: เปรียบเทียบกระบวนการสร้างพลังงานของพืชจาก 2 อวัยวะระดับเซลล์, (ภาพซ้าย) คลอโรพลาสต์ สร้างพลังงาน ATP เพื่อใช้สังเคราะห์แสง, (ภาพขวา) ไมโตคอนเดรีย สร้างพลังงาน ATP เพื่อแจกจ่าย

ภาพ: การสังเคราะห์แสงโดยอวัยวะระดับเซลล์ที่ชื่อ "คลอโรพลาสต์" ภายในมีสารสีเขียว "คลอโรฟิลล์" ทำหน้าที่เก็บเกี่ยวพลังงานจากแสง โดยใช้น้ำและก็าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นวัตถุดิบสร้างน้ำตาล และคายออกซิเจนออกมา

ภาพ: อวัยวะไมโตคอนเดรีย ที่ใช้ในการหายใจระดับเซลล์ เพื่อสร้างพลังงานในการดำรงชีวิต เจริญเติบโต และให้ผลผลิต
Sugar จากการสังเคราะห์แสงสู่การผลิต ATP
Sugar หรือน้ำตาล ผลิตผลจากการสังเคราะห์แสงของพืช เกิดขึ้นที่ใบแก่ที่ได้รับแสงอย่างเพียงพอ โดยอาศัยน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศแพร่เข้าสู่พืชผ่านปากใบและเปลี่ยนเป็นน้ำตาลไตรโอส (น้ำตาล 3 คาร์บอน: 3C) ผ่านขั้นตอนต่างๆ ภายในคลอโรพลาสต์ ซึ่งเป็นส่วนสีเขียวของพืช ดังนี้
1. ปฏิกิริยาแสง (light reaction)
คลอโรฟิลล์เก็บเกี่ยวพลังงานแสงและถ่ายทอดอิเล็กตรอน (e¯) ออกจากคลอโรฟิลล์ โดยมี NADH⁺ มารับอิเล็กตรอนเปลี่ยนเป็น NADPH ขณะเดียวกันน้ำจะถูกสลายตัวโดยมีแสง แมงกานีส (Mn⁺) และคลอไรด์ (Cl¯) เป็นตัวกระตุ้นการสลาย (การสลายน้ำนี้เรียกว่า photolysis) ได้โปรตอน (H⁺) กับอิเล็กตรอน (e¯) ซึ่ง e¯ จะเข้าไปแทนที่ e¯ ของคลอโรฟิลล์ที่ถ่ายทอดออกไป
ผลิตผลสุดท้ายจะได้สารถ่ายทอดอิเล็กตรอน NADPH และสารให้พลังงาน ATP เพื่อใช้ในขั้นตอนปฏิกิริยาคาร์บอน
2. ปฏิกิริยาคาร์บอน (carbon reaction)
ปฏิกิริยาคาร์บอน เป็นขั้นตอนสร้างน้ำตาล 3 คาร์บอน (3C) ก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล 6 คาร์บอน (6C) โดยใช้คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) เป็นสารตั้งต้น เรียกว่า “การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์” ซึ่งใช้ NADPH และ ATP จากปฏิกิริยาแสงและเกิดขึ้นวนเป็นวัฏจักร เรียกว่า “วัฏจักรคาลวิน” ทั้งนี้ 1 รอบวัฏจักรคาลวินจะได้น้ำตาล 3 คาร์บอน 1 โมเลกุล
ดังนั้น โดยสมการ 2 รอบวัฏจักรคาลวินจะได้น้ำตาล 3 คาร์บอน 2 โมเลกุล แล้วจึงนำมาสร้างน้ำตาล 6 คาร์บอน (glucose : 6C)
ผลิตผลจากการสังเคราะห์แสงได้น้ำตาล 6 คาร์บอน เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตมากกว่า 90% ของพืช อีกราว 10% ประกอบด้วยกรดอะมิโน 4-5% และธาตุอาหารพืช 5-6% (โดยประมาณ) ขึ้นอยู่กับชนิดพืช นอกจากนี้น้ำตาลยังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างพลังงาน ATP โดยผ่านกระบวนการหายในของพืชในระดับเซลล์

ภาพ: กระบวนการสังเคราะห์แสง โดยแบ่งออกเป็น 2 ปฏิกิริยา คือ 1) ปฏิกิริยาแสง เป็นการดูดกลืนคลื่นแสงเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน ATP และสารถ่ายทอดอิเล็กตรอน NADPH และ 2) ปฏิกิริยาคาร์บอน หรือวัฏจักรคาลวิน เดิมเคยเรียกว่า "ปฏิกิริยามืด" เป็นการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นน้ำตาล
ซอร์บิทอล พลังงานทาง (ต้อง) เลือกสำหรับทุเรียน
ผลิตภัณฑ์สารไบโอสติมูแลนท์ หรือสารกระตุ้นเชิงชีวภาพ ซูก้าร์บีท เป็นน้ำตาลทางด่วนซอร์บิทอลเข้มข้น 30% (Sorbitol 30%) จัดเป็นสารตั้งต้นที่ใช้สร้างพลังงาน ATP ของพืชอีกชนิดหนึ่ง เป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ 6 คาร์บอน
ในภาวะปกติพืชจะกักเก็บน้ำตาลกลูโคสส่วนหนึ่งในรูปของซอร์บิทอลและบางครั้งก็ใช้ซอร์บิทอลในการลำเลียงไปยังส่วนต่างๆ ที่เป็นผู้ใช้สารอาหาร (Sink) เช่น ดอก ผล รากและใบอ่อน รวมถึงใช้เป็นสารสื่อสัญญาณต่างๆ ภายในพืช เช่น ใช้แจ้งเตือนการรุกรานของศัตรูพืช โรคพืช หรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เพื่อกระตุ้นเปิดระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันและระบบป้องกันภัย อีกทั้งซอร์บิทอลเป็นน้ำตาลในรูปที่เชื้อราไฟท็อปธอร่าหรือเชื้อราหลายชนิด ไม่สามารถนำไปใช้เป็นสารอาหารได้ เนื่องจากเชื้อราไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ย่อยซอร์บิทอล
การฉีดพ่น ซูก้าร์บีท อัตรา 10-30 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและระยะการเจริญเติบโตของพืช โดยพ่นทุก 7-14 วัน ครั้ง
ซูก้าร์บีท สามารถพ่นได้ทุกระยะการเจริญเติบโตของพืชและช่วงวิกฤตของพืชควรเพิ่มความถี่ในการฉีดพ่นเป็นทุก 7-9 วัน
ซูก้าร์บีท น้ำตาลซอร์บิทอลเข้มข้น

ภาพ: กระบวนการหายใจระดับเซลล์ในไมโตคอนเดรีย ผ่าน 4 ขั้นตอนคือ 1) ไกลโคไลซีส 2) ไพรูเวทออกซิเดชั่น 3) วัฏจักรเครบส์ หรือวัฏจักรกรดซิตริก และ 4) การถ่ายทอดอิเล็กตรอน เพื่อสร้างพลังงาน ATP โดยมีออกซิเจนมารับอิเล็กตรอนเป็นตัวสุดท้าย จึงเรียกว่า การหายใจระดับเซลล์
เจาะลึกกระบวนการสร้างพลังงาน ATP จากซอร์บิทอล
ล้วงลึกกระบวนการสร้างพลังงาน ATP จากซอร์บิทอลผ่านกระบวนการหายใจระดับเซลล์พืช (cellular respiration) ซึ่งมีความสำคัญต่อการเจริญพัฒนาของดอกและผลอ่อนทุเรียน เนื่องจากเป็นช่วงที่พืชต้องการพลังงานสูงเพื่อการพัฒนาที่สมบูรณ์ของรังไข่-เกสร การผสมเกสร การแบ่งเซลล์ ขยายขนาดและกิจกรรมเมตาบอลิซึมต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะดอกและผลอ่อน
ทุเรียนและพืชอื่นๆ สามารถเปลี่ยนซอร์บิทอลเป็นพลังงาน ATP ได้ ผ่านกระบวนการหายใจระดับเซลล์ที่ซับซ้อน 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: ไกลโคไลซีส (glycolysis)
กระบวนการ “ไกลโคไลซีส” เป็นการสลายซอร์บิทอล (น้ำตาล 6 คาร์บอน) เป็นสารไพรูเวต (3 คาร์บอน) จำนวน 2 ตัว เพื่อนำส่งไปขั้นตอนที่ 2 และได้พลังงาน 2 ATP พลังงานส่วนนี้พืชนำไปใช้ในการเจริญพัฒนาและได้ 2 NADH เพื่อนำไปสร้างพลังงาน ATP ในขั้นตอนที่ 4
สำหรับขั้นตอนไกลโคไลซีสจะมีขั้นตอนย่อย 10 ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนย่อยที่ 1: เริ่มจากเปลี่ยน “กลูโคส” เป็น “กลูโคส-6-ฟอสเฟต (G6P)” โดยเอนไซม์เฮกโซไคเนส
ขั้นตอนย่อยที่ 2: เปลี่ยน “กลูโคส-6-ฟอสเฟต” เป็น “ฟรุกโตส-6-ฟอสเฟต (F6P)” โดยเอนไซม์ฟอสโฟกลูโคไอโซเมอเรส
สำหรับซอร์บิทอล ขั้นตอนย่อยที่ 1 เริ่มจากเปลี่ยน “ซอร์บิทอล” เป็น “ฟรุกโตส” โดยเอนไซม์ซอร์บิทอล ดีไฮโดรจีเนส (SDH), ขั้นตอนย่อยที่ 2 เปลี่ยน “ฟรุกโตส” เป็น “ฟรุกโตส-6-ฟอสเฟต (F6P)” โดยเอนไซม์เฮกโซไคเนส
ขั้นตอนย่อยที่ 3-10: ทั้งกลูโคสและซอร์บิทอล จะถูกเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน จนถึงขั้นตอนที่ 10 และได้ผลิตผลเป็นสารไพรูเวต จำนวน 2 ตัว, พลังงาน 2 ATP และ NADPH จำนวน 2 ตัว
ขั้นตอนที่ 2: ออกซิไดซ์สารไพรูเวต (Pyruvate oxidation)
โดยเปลี่ยนสารไพรูเวต 3 คาร์บอน (จากขั้นตอนไกลโคไลซีส) เป็น “อะซีทิลโคเอ” ที่มี 2 คาร์บอน เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนที่ 3 พร้อมกับปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และได้ผลิตผลเป็น NADH จำนวน 2 ตัว แล้วส่ง NADH ไปขั้นตอนที่ 4
ขั้นตอนที่ 3) วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle)
วัฏจักรเครบส์ หรือวัฏจักรกรดซิตริก เป็นการเปลี่ยนอะซิทิลโคเอเป็นคาร์บอนไดซ์ออกไซด์โดยสมบูรณ์ (complete oxidation of glucose) ซึ่งจะได้พลังงาน 2 ATP นำไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต กับ NADH จำนวน 6 ตัวและ FADH₂ จำนวน 2 ตัว เพื่อส่งต่อไปขั้นตอนที่ 4
ขั้นตอนที่ 4) ถ่ายทอดอิเล็กตรอน (e¯) และสร้างพลังงาน ATP
เป็นการถ่ายทอดอิเล็กตรอน โดยรับอิเล็กตรอนจาก NADH และ FADH₂ จากขั้นตอนที่ 1-3 ส่งผลให้เกิดการสร้างพลังงาน ประมาณ 26-28 ATP
สรุป ซอร์บิทอล 1 โมเลกุลสามารถให้พลังได้ถึง 30-32 ATP ดังนี้ คือ
1) กระบวนการไกลโคไลซีสในขั้นตอนแรก ได้พลังงาน 2 ATP
2) วัฏจักรเครบส์ หรือวัฏจักรกรดซิตริกในขั้นตอนที่ 3 ได้พลังงาน 2 ATP
3) การถ่ายทอดอิเล็กตรอนในขั้นตอนที่ 4 ได้พลังงาน 26-28 ATP
[เพิ่มเติม] การถ่ายทอกอิเล็กตรอนจะได้พลังงาน ATP เท่ากับ 26 ATP หรือ 28 ATP ขึ้นอยู่กับการขนส่ง NADH 2 ตัว จากกระบวนการไกลโคไลซีส ว่าพืชใช้ระบบขนส่ง (shuttle system) พืชใช้สารตัวใดเป็นตัวรับอิเล็กตรอน

ภาพ: ขั้นตอนไกลโคไลซีส เป็นการสลายน้ำตาล 6 คาร์บอน ให้เป็นสารไพรูเวต 3 คาร์บอน, ขั้นตอนย่อย 1-5 จาก 10 ขั้นตอน

ภาพ: ขั้นตอนไกลโคไลซีส เป็นการสลายน้ำตาล 6 คาร์บอน ให้เป็นสารไพรูเวต 3 คาร์บอน, ขั้นตอนย่อย 6-10 จาก 10 ขั้นตอน, น้ำตาล 6 คาร์บอน จำนวน 1 โมเลกุล ถูกเปลี่ยนเป็นสารไพรูเวต 3 คาร์บอน จำนวน 2 โมเลกุล

ภาพ: วัฏจักรเครบส์ หรือวัฏจักรกรดซิตริก, ในขั้นตอนไพรูเวตออกซิเดชั่น ซึ่งเป็นขั้นตอนเปลี่ยนสารไพรูเวต 3 คาร์บอน เป็นสาร 2 คาร์บอน และส่งสาร 2 คาร์บอนเข้าสู่วัฏจักรเครบส์ เพื่อเปลี่ยนสาร 2 คาร์บอน เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะได้พลังงาน ATP กับสารถ่ายถอดอิเล็กตรอน NADH

ภาพ: การถ่ายทอดอิเล็กตรอน (e¯) ที่บริเวณเยื้อหุ้มไมโตคอนเดรียชั้นใน ในขั้นตอนนี้จะได้สารให้พลังงาน 26-28 ATP และมีออกซิเจนมารับอิเล็กตรอนเป็นตัวสุดท้าย
ATP พลังงานขับเคลื่อนการพัฒนาดอกและผลทุเรียน
ซูก้าร์บีท เป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ซอร์บิทอลเข้มข้น 30% จึงเป็นแหล่งสารให้พลังงานแก่พืชในยามฉุกเฉิน เช่น
1. ภาวะเครียดจากแดดแรง ร้อนจัดความชื้นสัมพัทธ์ต่ำและพืชคายน้ำน้อย
2. ภาวะเครียดขาดน้ำ
3. ภาวะเครียดน้ำท่วมขัง ฝนตกชุก ฟ้าปิด ดินน้ำขัง
ซึ่งภาวะเหล่านี้ก่อให้เกิดการชะงักงันของการลำเลียงน้ำและสารอาหารภายในต้น
นอกจากนี้ซูก้าร์บีท ยังเป็นสารกระตุ้นเชิงชีวภาพเพิ่มการเจริญเติบโต เพิ่มผลผลิตและส่งเสริมคุณภาพผลผลิต ลดการแข่งขันของผู้ใช้ (Sink) ในช่วงเวลาที่มีผู้ใช้มากกว่าหนึ่ง เช่น
✦ การแก่งแย่งน้ำตาลของใบอ่อนกับดอกหรือผลอ่อน
✦ การแก่งแย่งของดอกหลายรุ่นในต้น
✦ ช่วยลดหรือชะลอการหลุดร่วงของดอกและผล
✦ ช่วยลดความเป็นพิษของสารบางชนิดที่ฉีดพ่น
✦ เพิ่มการดูดซึมธาตุอาหารหรือสารกำจัดศัตรูพืชได้ดียิ่งขึ้น
ATP พลังงานขับเคลื่อนดอกและผลทุเรียน
การสร้างและพัฒนาของดอก: ATP เป็นแหล่งพลังงานที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์ดอกใหม่ การแบ่งเซลล์ และการพัฒนาโครงสร้างต่างๆ ของดอก เช่น กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย หากขาดพลังงาน ATP ดอกทุเรียนอาจไม่สมบูรณ์ ร่วงหล่นง่าย หรือไม่สามารถผสมเกสรได้
การผสมเกสรและปฏิสนธิ: ATP เป็นพลังงานที่ใช้ในการงอกของละอองเรณู การเคลื่อนที่ของเกสรเพศผู้ไปยังรังไข่ และการปฏิสนธิ เมื่อการปฏิสนธิสำเร็จ จะนำไปสู่การพัฒนาของผลทุเรียน
การเจริญเติบโตของผล: ATP เป็นพลังงานที่จำเป็นต่อการขยายขนาดของเซลล์ผล การสะสมสารอาหารต่างๆ การสร้างเปลือก และการพัฒนาเนื้อทุเรียน หากขาดพลังงาน ATP ผลทุเรียนอาจมีขนาดเล็ก เนื้อน้อย หรือมีรสชาติไม่ดี
การจัดการสวนควบคู่กับพลังงาน ATP
เพื่อให้ได้ผลผลิตทุเรียนที่มีคุณภาพ นอกจากการฉีดพ่น ซูก้าร์บีท แล้ว ควรมรการจัดการสวนที่เหมาะสมควบคู่ไปด้วย เช่น
✦ การจัดการน้ำและธาตุอาหารพืชอย่างเหมาะสม
✦ การควบคุมโรคและแมลง
✦ การตัดแต่งกิ่งและทรงพุ่ม ให้แสงแดดส่องถึงใบได้อย่างทั่วถึง

[เพิ่มเติม]
NADH ย่อมาจาก nicotinamide adenine dinucleotide (reduced form)
NADPH ย่อมาจาก nicotinamide adenine dinucleotide phosphate (reduced form)
FADH₂ ย่อมาจาก flavin adenine dinucleotide (reduced form)


